ท่านเห็นด้วยหรือไม่
ในการเปลี่ยนโครงสร้างการประกาศอิสลามของท่านนบี
หลังจากแนวคิด “อุมมะตันวาฮิดะห์” หรือ ประชาชาติหนึ่งเดียว กระจายสู่สาธารณะ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆ ตามแต่ภูมิรู้และระดับการรับรู้ของผู้คน บ้างก็เห็นด้วยและบ้างก็คัดค้าน แต่เราก็ไม่อาจตำหนิผู้คนเหล่านั้นได้เลยว่า พวกเขาพูดผิดหรือวิจารณ์ถูกและผิดอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากความไม่ชัดเจนในหลักการและวิธีการของ “อุมมะตันวาฮิดะห์” ที่ได้นำเสนอนั่นเอง
แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้
ผมเคยเรียกร้องผู้ที่เกี่ยวข้องให้ออกมาพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพราะหากปล่อยให้ยืดเยื้อรังแต่จะสร้างปัญหาและความสับสนให้แก่ผู้คน จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องบอกให้ชัดเจนว่า มันคือแนวทางของท่านนบีและศอฮาบะห์ที่ดำรงอยู่หรือไม่ หรือเป็นวิธีการที่ประยุกต์กันขึ้นเอง
ล่าสุด หนึ่งในแกนนำของเรื่องนี้ได้บรรยายถึงแนวคิดและวิธีการจัดการ “อุมมะตันวาฮิดะห์” ให้ผู้คนได้รับรู้ ซึ่งจับประเด็นได้ว่า “รวมก่อน ให้รักกันก่อนแล้วค่อยบอกว่าอะไรถูกอะไรผิด” หรือ “ในสมัยนบียังอยู่ร่วมกับมุนาฟิกและยะฮูด” หรือ “ใครทำซุนนะห์แล้วนำไปสู่ความแตกแยกนั่นไม่ใช่ซุนนะห์” อย่างนี้เป็นต้น
เมื่อได้ฟังข้อมูลที่แสดงต่อสาธารณะเช่นนี้แล้ว ถึงกับต้องอุทานกับตัวเองว่า “นี่คือการเปลี่ยนโครงสร้างการประกาศอิสลามของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม”
ในคำบรรยายของเขาช่วงหนึ่งได้ประกาศอย่างหนักแน่นว่า “อุมมะตันวาฮิดะห์” นี้จะยึดซุนนะห์ของท่านนบีเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งฟังแล้วน่าชื่นใจ ขณะเดียวกันเขาก็กล่าวว่า “รวมกันก่อน ให้รักกันก่อนแล้วค่อยบอกว่าอะไรถูกอะไรผิด” คำพูดนี้ค้านกับซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
เมื่อประกาศว่าจะยึดซุนนะห์ของท่านนบีเป็นหลักการ แล้วทำไมไม่ใช้วิธีการของท่านนบีเล่า ทำไมถึงไปเอาวิธีการที่นอกเหนือจากซุนนะห์มาสวมแทน อย่างนี้ไม่เท่ากับกลบวิธีการที่ท่านนบีและเหล่าศอฮาบะห์ได้ปฏิบัติหรอกหรือ
ท่านไม่ทราบหรือว่า เมื่อพระองค์อัลลอฮ์สั่งให้ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ประกาศอิสลามแก่วงศาคณาญาติของท่าน แล้วท่านนบีทำอย่างไร
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
وَأنْذِرْ عَشِيْرَتَكَ الأقْرَبِيْنَ
“และเจ้าจงตักเตือนวงศาคณาญาติของเจ้าที่ใกล้ชิด” ซูเราะห์อัสซูอะรออ์ อายะห์ที่ 214
ในขณะที่ท่านบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นที่รักใคร่ของเครือญาติและบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ท่านประกาศสัจธรรม กลับทำให้ญาติใกล้ชิดของท่านเช่น อบูละฮับและภรรยา โกรธเกลียด ด่าทอ และขัดขวาง และนี่เป็นเหตุของการประทานซูเราะห์อัลมะซัด ที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
تَبَّتْ يَدَا أَبِي لَهَبٍ وَتَبَّ مَا أغْنَى عَنْهُ مَالُهُ وَمَا كَسَبَ سَيَصْلَى نَاراً ذَاتَ لَهَبٍ وَأمْرَأَتُهُ حَمَّالَةَ الْحَطَبِ فِي جِيْدِهَا حَبْلٌ مِنْ مَسَدٍ
“มือทั้งสองของอบูละฮับจงพินาศและเขาก็พินาศแล้ว ทรัพย์สินของเขา และสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไม่ได้ก่อประโยชน์กับเขาเลย เขาจะต้องเขาสู่นรกที่มีไฟลุกโชน อีกทั้งภรรยาของเขาด้วย นางเป็นผู้แบกฟืน ที่คอของนางมีเชือกถักด้วยใยอินทผลัม” ซูเราะห์อัลมะซัด อายะห์ที่ 1 - 5
ขณะเดียวกัน พระองค์อัลลอฮ์ทรงใช้ให้ท่านนบีประกาศว่า
قُلْ لاَ أسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أجْراً إلاَّ الْمَؤَدَّةَ فِي الْقُرْبَى
“ประกาศเถิดมูฮัมหมัด ข้าไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทนใดๆ ในเรื่องนี้ นอกจากความรักที่มีต่อเครือญาติ” ซูเราะห์อัชชูรอ อายะห์ที่ 23
ข้อความของอายะห์นี้ เหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองได้นำไปบิดเบือนโดยแปลว่า “เพื่อให้รักเครือญาติ” หมายถึงเพื่อให้ผู้อื่นมารักเครือญาติของท่านนบี แต่ชาวซุนนะห์คงจะไม่แปลอายะห์นี้แผลงๆ แบบชาวชีอะห์เป็นแน่แท้ และอายะห์นี้ก็มิได้มีเป้าหมายว่า เพื่อให้เครือญาติมารักท่านนบี เพราะก่อนที่ท่านนบีจะประกาศอิสลามนั้น พวกเขาก็รักท่านนบีอยู่แล้ว แต่เมื่อท่านได้ประกาศ “ลาฮิลาฮ่าอิลลัลลอฮ์” ความรักได้กลายเป็นความเกลียดและอาฆาต จนกระทั่งทำให้ท่านและบรรดาผู้ศรัทธาต้องทิ้งถิ่นฐาน,ที่ทำกิน,ญาติพี่น้อง รอนแรมอพยพกันไปอยู่นครยัสริบ หรือ นครมะดีนะในปัจจุบัน
ศอฮาบะห์ของท่านนบีที่อพยพในครั้งนี้ต่างก็มีที่อยู่อาศัย,ที่ทำกิน และญาติพี่น้องอยู่ในนครมักกะห์ แล้วจะทำอย่างไรระหว่างการศรัทธากับความรักที่มีต่อญาติพี่น้องที่ยังคงอยู่ในนครมักกะห์
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
يَأيُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوا لاَ تَتَّخِذُوا عَدُوِّي وَعَدُوَّكُمْ أوْلِيَاءَ تُلْقُوْنَ إَلَيْهِمْ بِالْمَؤَدَّةِ وَقَدْ كَفَرُوا بِمَا جَاءَكُمْ مِنَ الْحَقِّ يُخْرِجُوْنَ الرَّسُوْلَ وَإيَّاكُمْ أنْ تُؤْمِنُوا بِاللهِ رَبِّكُمْ
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้เอาศัตรูของข้าและศัตรูของพวกเจ้ามาเป็นมิตร โดยหยิยยื่นความรักให้แก่พวกเขา เพราะแท้จริงพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่มายังเจ้าจากสัจธรรม พวกเขาขับไล่รอซูลโดยเฉพาะพวกเจ้า ด้วยการที่พวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์องค์อภิบาลของพวกเจ้า” ซูเราะห์อัลมุมตะฮินะห์ อายะห์ที่ 1
นี่คือเหตุการณ์เริ่มแรกของการประกาศอิสลาม ซึ่งเป็นบทเรียนได้เป็นอย่างดีว่า บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและบรรดามุชรีกีนในนครมักกะห์ ต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกันดีในหมู่พวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะมีเทพเจ้าหลายองค์รอบกะอ์บะห์ แต่พวกเขาก็สามัคคีกันดี จนกระทั่งท่านนบีได้ประกาศอิสลาม โดยยืนหยัดบนสัจธรรม ท่านมิได้นำเอาความจริงไปปนกับความเท็จ ท่านมิได้บอกของถูกเพียงอย่างเดียวด้วยการประกาศว่า “อัลลอฮ์เป็นพระเจ้า” เพราะหากท่านประกาศแค่นี้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายและแตกแยก เพราะพวกเขามีพระเจ้าที่สักการะอยู่ก่อนแล้วถึง 360 รูป หากจะเพิ่มไปอีกหนึ่งก็คงจะพอรับกันได้ แต่ท่านนบีก็มิได้ทำเช่นนั้น ท่านเริ่มต้นสอนผู้คนด้วยการให้ผู้คนปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าออกไปด้วยคำว่า “ลาอิลาฮ่า” แปลว่า “สิ่งที่ถูกสักการะทั้งหลายนั้นไม่ใช่พระเจ้า” อิลลัลลอฮ์ นอกจากอัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น
นี่คือหลักเตาฮีด ที่ค้านกับแนวคิด “อุมมะห์วาฮิดะห์” ที่กล่าวกันว่า “ไม่ต้องบอกว่าเขาผิดอย่างไร บอกของถูกให้เขา เดี๋ยวเขาจะรู้ตัวเองว่าโดนโจมตีแล้ว” หรือถ้อยคำที่ว่า “ให้รวมกันก่อน ให้รักกันก่อนแล้วค่อยบอก” ซึ่งมันต่างกับวิธีการที่ท่านนบีและเหล่าศอฮาบะห์ดำรงอยู่อย่างสิ้นเชิง
ท่านเคยทราบจุดยืนของ อบูบักร์ อัซศิดดีก ไหม ท่านต้องระทมทุกข์ขณะที่ลูกชายของท่านปฏิเสธอิสลามและอยู่ในกองทัพศัตรูที่ไล่ฆ่าท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แต่ท่านอบูบักร์ก็เลือกที่จะปกป้องท่านนบี มากกว่าความรักที่มีต่อลูกของตนเอง และนี่เป็นหนึ่งในเหตุของการประทานอัลกุรอานดังนี้
لاَ تَجِدُ قَوْماً يُؤْمِنُوْنَ بِاللهِ وَاليَوْمِ الآخِرِ يُوَادُوْنَ مَنْ حَادَ اللهَ وَرَسُوْلَهُ وَلَوْ كَانُوا آبَاءَهُمْ أوْ أبْنَاءَهُمْ أوْ إخْوَانَهُمْ أوْ عَشِيْرَتَهُمْ
“เจ้าจะไม่พบว่ากลุ่มชนใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะห์ จะรักใคร่ผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นพ่อของพวกเขา ลูกๆของพวกเขา เป็นพี่น้องของพวกเขา หรือเป็นเครือญาติของพวกเขา” ซูเราะห์อัลมุญาดะละห์ อายะห์ที่ 22
จากบทเรียนนี้ เราได้เห็นว่า เหล่าศอฮาบะห์มิได้เอาความรักมาเป็นที่ตั้งเหนือการศรัทธา
เมื่อท่านนบีและเหล่ามุฮาญีรีนได้อพยพมาอยู่ที่นครมะดีนะห์ ก็ต้องเผชิญกับพวกยะฮูดที่ปฏิเสธและบรรดามุนาฟีกีน (ผู้กลับกลอกทางการศรัทธา)
ท่านนบีได้ประกาศอิสลามแก่พวกเขาด้วยการทำให้พวกเขารักท่านก่อนหรือ ท่านเปลี่ยนจุดยืนจากที่เคยประกาศที่นรคมักกะห์หรือ เปล่าเลย ท่านยังคงใช้วิธีการเดิมคือ สอนพวกเขาให้มีศรัทธาที่ถูกต้องและขจัดความเชื่อที่ไม่ถูกต้องออกไปเป็นอันดับแรก ท่านลองอ่านช่วงต้นของซูเราะห์อัลบัยยินะห์ดูซิว่า พระองค์อัลลอฮ์กล่าวว่าอย่างไร
لَمْ يَكُنِ الَّذِيْنَ كَفَرُوا مِنْ أهْلِ الْكِتَابِ وَالْمُشْرِكِيْنَ مُنْفَكِّيْنَ حَتَّى تَأْتِيَهُمُ الْبَيِّنَةُ رَسُوْلٌ مِنَ اللهِ يَتْلُوا صُحُفاً مُطَهَّرَةً فِيْهَا كُتُبٌ قَيِّمَةٌ وَمَا تَفَرَّقَ الَّذِيْنَ أُوْتُوا الْكِتَابَ إلاَّ مِنْ بَعْدِ مَا جَائَتْهُمُ الْبَيِّنَةُ
“บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากชาวคัมภีร์และบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้น พวกเขาไม่หลุดพ้น (จากความเชื่อของพวกเขา) จนกระทั่งได้มีหลักฐานอันชัดเจนมายังพวกเขา คือรอซูลคนหนึ่งจากอัลลอฮ์ที่ได้อ่านคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งในคัมภีร์นั้นมีบัญญัติอันเที่ยงตรง
และบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ (ยะฮูดและนะศอรอ) มิได้แตกแยกกัน เว้นแต่หลังจากที่หลักฐานอันชัดเจนได้มาถึงพวกเขา” ซูเราะห์อัลบัยยินะห์ อายะห์ที่ 1 -4
การประกาศอิสลามของท่านนบี ไม่ว่าจะเป็นที่นครมักกะห์ หรือที่นครมะดีนะห์ ต่างก็ทำให้ผู้คนแตกแยก คือแยกออกจากความเท็จมาสู่ความจริง และผลของความแตกนี้ถึงขนาดต้องย้ายถิ่นฐาน ถึงขนาดต้องพลัดพรากจากญาติพี่น้องและคนที่รักเลยทีเดียว
คำพูดที่ว่า “ท่านนบียังอยู่รวมกับพวกยะฮูดและบรรดามุนาฟิกีน”
กรณีของพวกยะฮูดและบรรดามุนาฟิกีน ที่อยู่รายล้อมท่านนบี ศ็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ตามที่ได้กล่าวอ้างนั้น พระองค์อัลลอฮ์ทรงประทานอัลกุรอานมาประจานและประณามพวกเขามากมายตามที่ถูกระบุในอัลกุรอาน พระองค์อัลลอฮ์ทรงใช้ให้ท่านนบีและบรรดาผู้ศรัทธาแสดงจุดยืนที่เด็ดเดี่ยวกับพวกเขา ซึ่งเรื่องนี้พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
يَأيُّهَا النَّبِيُ جَاهدِ الْكُفَّارَ وَالمُنَافِقِيْنَ وَاغْلُظْ عَلَيْهِمْ وَمَأْوَاهُمْ جَهَنَّمَ وَبشئْسَ الْمَصِيْرُ
“โอ้นบีเอ๋ย จงต่อสู้กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (ที่เป็นศัตรู) และบรรดาผู้กลับกลอกทางการศรัทธา เจ้งจงเฉียบขาดกับพวกเขา และที่พำนักของพวกเขานั้นคือ นรกญะฮันนัม และเป็นที่กลับไปที่เลวร้ายยิ่ง” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 73
قَاتِلُوا الَّذِيْنَ لاَ يُؤْمِنُوْنَ بِاللهِ وَلاَ بِالْيَوْمِ الآخِرِوَلاَ يُحَرِّمُوْنَ مَا حَرَّمَ اللهُ وَرَسُوْلُهُ وَلاَ يَدِيْنُوْنَ دِيْنَ الْحَقِّ مِنَ الَّذِيْنَ أُوتُوا الْكِتَابَ حَتَّى يُعْطُوا الجِزْيَةَ عَنء يَدٍ وَهُمْ صَاغِرُوْنَ
“พวกเจ้าจงต่อสู้กับบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และต่อวันอาคิเราะห์ และไม่ละเว้นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ทรงห้าม และไม่ดำเนินตามศาสนาแห่งสัจจะ จากบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ (ยะฮูดและนะศอรอ) จนกว่าพวกเขาจะจ่ายภาษีหัวจากมือของพวกเขา ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 29
وَلَنْ تَرْضَى عَنْكَ الْيَهُوْدُ وَلاَ النَصَارَى حَتَّى تَتَّبِعَ مِلَّتَهُمْ
“และบรรดายะฮูดและนะศอรอนั้นจะไม่พอใจเจ้าหรอก จนกว่าเจ้าจะตามศาสนาของพวกเขา” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 120
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนในการประกาศอิลลามของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นระยะๆ และท่าทีของท่านต่อบรรดายะฮูดและบรรดามุนาฟิกีน ผู้กลับกลอกการศรัทธา หรืออีกด้านหนึ่งในการประกาศอิสลามของท่าน ที่ท้าทายให้พวกบาทหลวงนะศอรอ ทำการ “มุบาฮะละ” หรือ การสาบานให้ประสบกับความหายนะ และเป็นที่มาของการประทานอายะห์อัลกุรอานที่ว่า
فَمَنْ حَاجَّكَ فِيْهِ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوا نَدْعُ أبْنَاءَنَا وَأبْنَاءَكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ وَأنْفُسَنَا وَأنْفُسَكُمْ ثُمَّ تَبْتَهِل فَنَجْعَلَ لَعْنَتَ اللهِ عَلَى الْكاَذِبِيْنَ
“ดังนั้นผู้ใดที่โต้แย้งกับเจ้าในเรื่องของอีซา หลังจากที่ความรู้ได้มายังเจ้าแล้ว ก็จงประกาศเถิดมูอัมหมัดว่า พวกท่านมาพิสูจน์กันเถิด เราจะเรียกลูกๆของเราและลูกหลานของพวกเท่าน บรรดาสตรีของพวกเราและบรรดาสตรีของท่าน พร้อมทั้งตัวของเราและตัวของพวกท่าน แล้วเราก็วิงวอนขอให้ประสบกับความวิบัติ โดยเราจะขอการสาปแช่งของอัลลอฮ์ให้มีแก่บรรดาผู้โกหก” ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 61
ทำไมต้องท้าสาบานให้พบกับความวิบัติกันด้วย ทำไมท่านนบีไม่ทำให้พวกเขารักท่านก่อน แล้วค่อยประกาศสัจธรรม
หรืออย่างในกรณีของ เอาวซ์ กับ คอซรอจญ์ ที่รบราฆ่าฟันกันมาหลายชั่วอายุคน ท่านนบีก็มิได้ใช้วิธีทำให้พวกเขารักตัวท่านก่อน แล้วค่อยสอนอิสลามให้แก่พวกเขา
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
وَاذْكُرُوا نِعْمَتَ اللهِ عَلَيْكُمْ إذْ كُنْتُمْ أعْدَاءً فَألَّفَ بَيْنَ قُلُوْبِكُمْ فَأصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إخْوَاناً
“และจงรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน พระองค์ได้ทรงทำให้สนิทสนมระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของพระองค์” ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 103
อายะห์ข้างต้นนี้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ศรัทธาทำให้คนรักกัน ไม่ใช่รักกันเองเพื่อให้เกิดศรัทธา และท่านนบีก็ไม่ได้ใช้วิธีการ “ให้รวมกันก่อน ให้รักกันก่อนแล้วค่อยบอกถูกและผิดในภายหลัง” อย่างที่กำลังโปรโมทกันอยู่ขณะนี้
ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
لاَ يُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى أَكُوْنَ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِدِهِ وَوَلَدِهِ وَالنَّاسِ أجْمَعِيْنَ
“คนใดก็ตามในหมู่พวกเจ้าจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าฉันจะเป็นที่รักยิ่งของเขามากกว่า พ่อแม่,ลูกๆของพวกเขาและคนอื่นๆทั้งหมด” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 14
ฮะดีษบทนี้มิได้สอนว่า ให้รักกันเองก่อนแล้วค่อยสอนว่ารักนบีเป็นเช่นใด เราไม่สามารถเอาความรักนำหน้าวะฮีย์อันบริสุทธิ์ ความรักจะต้องอยู่ภายใต้คำสอนของศาสนาที่ถูกต้อง หากรักกันโดยไม่รู้ถูกรู้ผิด ไม่ใช่คำสอนของอิสลามแน่นอน
ความคิดของผู้ศรัทธานั้นจะไม่ฟุ้งซ่านหากมีวีธีคิดตามกรอบของศาสนา ตัวอย่างเช่น คิดว่าทำอย่างไรจะให้ผู้คนรักกันบนพื้นฐานของความรักที่มีต่ออัลลอฮ์รักรอซูล ไม่ใช่คิดว่า ทำอย่างไรให้เขารักเรา หรือทำอย่างไรให้พวกเขารักกันเอง อย่างนี้คนที่ไม่ใช่มุสลิมเขาก็คิดได้
ส่วนคำโปรโมทที่ว่า “ให้รวมกันก่อน ให้รักก่อนแล้วค่อยบอกถูกผิดเป็นอย่างไร” นั้น เราไม่เห็นด้วยกับความคิดนอกกรอบเช่นนี้ เป็นความคิดที่ทำลายโครงสร้างการประกาศอิสลามของท่านนบี ความคิดเช่นนี้ ไม่ใช่ซุนนะห์ ไม่ใช่ทั้งหลักการและวิธีการของท่านนบี ศ็อลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
จะสร้างสังคมให้ดีงาม ควรอยู่บนพื้นฐานคำสอนของศาสนาทั้งหลักการและวิธีการ
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
والمؤمنون والمؤمنات بعضهم أولياء بعض يأمرون بالمعروف وينهون عن المنكر
“และบรรดาชายผู้ศรัทธา และบรรดาหญิงผู้ศรัทธา พวกเขาต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พวกเขากำชับใช้กันในเรื่องความดีและห้ามปรามกันในเรื่องความชั่ว” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 71
كُنْتُمْ خَيْرَ أُمَّةٍ أُخْرِجَتْ للنَّاسِ تَأْمُرُوْنَ بِالمَعْرُوْفِ وَتَنْهَوْنَ عَنِ المُنْكَرِ وَتُؤْمِنُوْنَ بِاللهِ
“พวกเจ้า (เหล่าศอฮาบะห์) เป็นประชาชาติที่ดีเลิศ ซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นแก่มนุษยชาติ โดยพวกเจ้ากำชับใช้กันในเรื่องความดีงาม และห้ามปรามกันในสิ่งที่เป็นความผิด และพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์” ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 110
เราเรียกร้องผู้ที่เกี่ยวข้องให้มีการทบทวน และขอให้หวนกับสู่กิตาบุ้ลลอฮ์และซุนนะห์ ด้วยการยึดอย่างจริงจังประหนึ่งว่ากัดด้วยฟันกราม
ฟารีด เฟ็นดี้
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2556