ไม่มีหรือไม่เหมือน
หลังจากที่ผมได้โพ้สข้อความลงในเฟสบุคว่า
ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนผู้ก่อฟิตนะห์ทั้งหลาย
พวกเขายัดเยียดอะกีดะห์ที่ผิดเพี้ยนให้แก่เรา ทั้งๆที่
เราไม่เคยเชื่อว่าอัลลอฮ์ทรงมีมือเหมือนมือมนุษย์หรือมัคลูกใดๆ
เราไม่เคยเชื่อว่าอัลลอฮ์มีเสียงเหมือนเสียงมนุษย์หรือมัคลูกใดๆ
เราไม่เคยเชื่อว่าอัลลอฮ์ทรงมีอวัยวะเหมือนมนุษย์หรือมัคลูกใดๆ
เราเชื่อว่าพระองค์อัลลอฮ์ทรงพิสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
ไม่ใช่อะกีดะห์ของเราที่พวกเขาใส่ร้าย
เราเชื่อตามตัวบทหลักฐานดั่งที่บรรดาศอฮาบะห์ของท่านนบีได้เชื่อ
เรายืนยันว่า
เราไม่มีสิทธิ์และไม่ได้รับสิทธิ์ในการวิพากษ์เรื่องอัลลอฮ์
แต่หากผู้จะใช้สิทธิ์ขณะที่เขาไม่มีสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอัลลอฮ์
ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครองและให้เราห่างไกลจากแนวที่หลงผิดด้วยเถิด
และอีกข้อความหนึ่งที่โพ้สว่า
เราไม่มีสิทธิ์และเราไม่ได้รับสิทธิ์ในการวิพากษ์เรื่องอัลลอฮ์
หากผู้ใดกระทำการวิพากษ์เรื่องอัลลอฮ์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อเขาในการละเมิดนี้
ส่วนผู้ใดยืนยันว่าเขามีสิทธิ์หรืออ้างว่าเขาได้รับสิทธิ์ในการวิพากษ์เรื่องอัลลอฮ์
ขอให้เขาแสดงหลักฐานการได้รับสิทธิ์จากอัลกุรอานและฮะดีษด้วยเถิด
ตั้งแต่โพ้สข้อความทั้งสองไว้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2557 จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดแสดงหลักฐานยีนยันว่าพวกเขามีสิทธิ์หรือได้รับสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอัลลอฮ์ แต่พวกเขาก็ยงคงทำการเช่นนี้เสมอมาทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานอนุญาต มิหนำซ้ำพวกเขายังอ้างว่า เป็นอะห์ลุลซุนนะห์ และใส่ร้าย ประณามคนที่มีแนวคิดต่างจากพวกเขาคือพวก “วะฮาบีย์” อยู่ร่ำไป
เหล่านี้คือการบิดเบือนข้อเท็จด้วยวิธีการที่สกปรกของพวก “อะห์ลุ้ลกะลาม” หรือ “มุตะกัลลีมีน” หมายถึงพวก “นักวิภาษณ์นิยม” เช่น ญะฮ์มียะห์, อะชาอิเราะห์ และ ฯลฯ ที่เอาสมองปัญญาของตนเองวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง ซาต และ ศิฟัตของอัลลอฮ์ บนพื้นฐานของตรรกะ
ข้อสังเกตของคนกลุ่มนี้คือ เอาความคิดของตนเองตั้งแล้วอธิบายหลักฐานให้สอดคล้องกับปัญญาของตนเอง หรือพูดง่ายๆว่า เอาหลักฐานทางปัญญานำหลักฐานทางศาสนา
ซึ่งต่างจากแนวทางของศอฮาบะห์และคนยุคต้นที่เรียกว่า “ซะลัฟ” ที่พวกเขาจะเอาตัวบทหลักฐานทางศาสนาเป็นบรรทัดฐาน และไม่นำปัญญาไปวิพากษ์วิจารณ์
อบูอีซา อัตติรมีซีย์ รายงานว่า
حَدَّثَنَا أَبُو كُرَيْبٍ مُحَمَّدُ بْنُ الْعَلاَء حَدَّثَنَا وَكِيْعٌ حَدَّثَنَا عَبَّادُ بْنُ مَنْصُوْرٍ حَدَّثَنَا القَاسِمُ بْنُ مُحَمَّدٍ قَالَ سَمِعْتُ أبَا هُرَيْرَةَ يَقُوْلُ قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إنَّ اللهَ يَقْبَلُ الصَّدَقَةَ وَيَأْخُذُ بِيَمِيْنِهِ فَيُرَبِّيهَا لأَحَدِكُمْ كَمَا يُرَبِّي أَحَدُكُمْ مُهْرَهُ حَتَّى إنَّ الْلُقْمَةَ لَتَصِيْرُ مِثْلَ أُحُدٍ وَتَصْدِيْقُ ذَلِكَ فِي كِتَابِ اللهِ عَزَّوَجَلَّ ( أَلَمْ يَعْلَمُوا أنَّ اللهَ هُوَ يَقْبَلُ التَوْبَةَ عَنْ عِبَادِهِ وَيَأْخُذُ الصَّدَقَاتِ ) و ( يَمْحَقُ اللهُ الرِّبَا وَيُرْبِي الصَّدَقَاتِ ) قَالَ أَبُوعِيْسَى هَذَا حَدِيْثٌ حَسَنٌ صَحِيْحٌ وَقَدْ رُوِيَ عَنْ عَائِشَةَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَحْوَ هَذَا وَقَدْ قَالَ غَيْرُ وَاحِدٍ مِنْ أهْلِ العِلْمِ فِي هَذَا الْحَدِيْثِ وَمَا يُشْبِهُ هَذَا مِنَ الرِّوَايَاتِ مِنَ الصِّفَاتِ وَنُزُوْلِ الرَّبِّ تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلََّ لَيْلَةٍ إلَى السَّمَاءِ الدُنْيَا قَالُوا قَدْ تَثْبُتُ الرِّوَايَاتُ فِي هَذَا وَيُؤْمِنُ بِهَا وَلاَ يُتَوَهَّمُ وَلاَ يُقَالُ كَيْفَ هَكذَا رُوِيَ عَنْ مَالِكٍ وَسُفْيَانَ بْنِ عُيَيْنَةَ وَعَبْدِ اللهِ بْنِ المُبَارَكِ أنَّهُمْ قَالُوا فِي هَذِهِ الأحَادِيْثِ أَمِرُّوْهَا بِلاَ كَيْفٍ وَهَكَذاَ قَوْلُ أهْلِ العِلْمِ مِنْ أهْلِ السُنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ وَأمَّا الْجَهْمِيَّةُ فَأَنْكَرَتْ هَذِهِ الرِّوَايَاتِ وَقَالُوا هَذَا تَشْبِيْهٌ وَقَدْ ذَكَرَ اللهُ عَزَّوَجَلَّ فِي مَوْضِعٍ مِنْ كِتَابِهِ الْيَدَ وَالسَّمْعَ وَالبَصَرَ فَتَأَوَّلَتِ الجَهْمِيَّةُ هَذِهِ الآيَاتِ فَفَسَّرُوْهَا عَلَى غَيْرِ مَا فَسَّرَ أهْلُ العِلْمِ وَقَالُوا إنَّ اللهَ لَمْ يَخْلُقْ آدَمَ بِيَدِهِ وَقَالُوا إنَّ مَعْنَى الْيَدِ هَاهُنِا القُوَّةُ وَقَالَ إسْحَقُ بْنُ إبْرَاهِيْمَ إنَّمَا يَكُوْنُ التَشْبِيْهُ إذَا قَالَ يَدٌ كَيَدٍ أوْ مِثْلُ يَدٍ أَوْ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أوْ مِثْلُ سَمْعٍ فَإذَا قَالَ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ فَهَذَا التَشْبِيْهُ وَأمَّا إذَا قَالَ كَمَا قَالَ اللهُ تَعَالَى يَدٌ وَ سَمْعٌ وَبَصَرٌ وَلاَ يَقُوْلُ كَيْفَ وَلاَ يَقُوْلُ مِثْلُ سَمْعٍ وَلاَ كَسَمْعٍ فَهَذَا لاَ يَكُوْنُ تَشْبِيْهاً وَهُوَ كَمَا قَالَ اللهُ تَعَالَى فِي كِتَابِهِ ( لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْئٌ وَهُوَ السَّمِيْعُ البَصِيْرُ )
อบูกุรัยบ์ มูฮัมหมัด อิบนุล อะลาอ์ เล่าให้เราฟังว่า วะเกียะอ์ เล่าให้เราฟังว่า อับบาด บินมันซูร เล่าให้เราฟังว่า อัลกอเซ็ม บิน มูฮัมหมัด เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า ฉันเคยได้ยิน อบูฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า : แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์จะทรงรับการศอดะเกาะห์ และเอามันไว้ด้วยพระหัตขวาของพระองค์ และจะทรงดูแลมันไว้ให้แก่คนใดก็ตามในหมู่พวกท่าน ดังเช่นคนใดในหมู่พวกท่านที่อนุบาลลูกม้า จนกระทั่งอาหารคำหนึ่งก็จะกลายเป็นประหนึ่งดั่งภูเขาอุฮุด และการยีนยันดังกล่าวนี้มีอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเกียรติและสูงส่งคือ (พวกเขาไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น พระองค์จะทรงรับการเตาบะห์จากบ่าวของพระองค์และจะทรงรับการบริจาคทานต่างๆ) และ (อัลลอฮ์จะทรงทำให้ดอกเบี้ยล่มจมแต่จะทรงเพิ่มพูนการบริจาคทานต่างๆ)
อบูอีซา (อิหม่ามติรมีซีย์) กล่าวว่า ฮะดีษนี้อยู่ในระดับ ฮะซัน ศอเฮียะห์ และถูกรายงานจากท่านหญิงอาอิชะห์ จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ทำนองนี้เช่นเดียวกัน โดยที่นักวิชาการจำนวนไม่น้อยได้กล่าวถึงฮะดีษนี้ และฮะดีษที่คล้ายคลึงกันนี้จากรายงานต่างเกี่ยวกับ บรรดาคุณลักษณะ, การลงมาขององค์อภิบาลผู้ทรงจำเริญและสูงส่งในทุกคืนสู่ฟ้าดุนยา พวกเขากล่าวว่า มีรายงานต่างๆที่ยืนยันในเรื่องนี้ โดยจะต้องศรัทธา ไม่สร้างความคลุมเครือ และต้องไม่กล่าวว่าเป็นอย่างไร
ทำนองเดียวกัน ถูกรายงานจาก อิหม่ามมาลิก, ซุฟยาน อิบนิ อุยัยนะห์ และ อับดุลลอฮ์ อิบนิ มุบาร๊อก ซึ่งพวกเขากล่าวเกี่ยวกับฮะดีษต่างๆเหล่านี้ว่า ให้ผ่านไปโดยที่ไม่ต้องถามว่าเป็นอย่างไร และนี่ก็คือคำพูดของนักวิชาการจาก อะห์ลิสซุนนะห์วัลญะมาอะห์ เช่นเดียวกัน
ส่วนพวก ญะฮ์มียะห์ นั้นได้ปฏิเสธคำรายงานต่างๆ เหล่านี้ โดยพวกเขากล่าวว่า นี่คือการตัชบีฮ์ (หมายถึงการเปรียบอัลลอฮ์กับสิ่งถูกสร้าง)
แต่อัลลอฮ์ ผู้ทรงเกียรติและสูงส่งได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ในคัมภีร์ของพระองค์หลายที่เช่น พระหัต, การได้ยิน, การเห็น แต่พวกญะฮ์มียะห์ก็ตีความอายะห์เหล่านี้ โดยพวกเขาอธิบายมันเกินเลยจากที่นักวิชาการได้อธิบายไว้ พวกเขากล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ได้สร้างอาดัมด้วยพระหัตของพระองค์ พวกเขายังกล่าวอีกว่า แท้จริงความหมายของคำว่า พระหัตนั้นคือ พลังอำนาจ
อิสฮาก อิบนุ อิบรอฮีม กล่าวว่า อันที่จริงแล้วการ ตัชบีฮ์ (การเปรียบอัลลอฮ์เหมือนสิ่งถูกสร้าง) นั้นคือ เมื่อเขากล่าวว่า พระหัตก็คือมือ หรือเช่นเดียวกับมือของสิ่งถูกสร้าง หรือ การได้ยินก็คือการได้ยินหรือเช่นเดียวกับการได้ยินของสิ่งถูกสร้าง และเมื่อเขากล่าวว่าการได้ยินก็คือการได้ยินหรือเช่นเดียวกับการได้ยินของสิ่งถูกสร้าง อย่างนี้แหละคือ ตัชบีฮ์ (การเปรียบอัลลอฮ์กับสิ่งถูกสร้าง)
แต่ถ้าเขากล่าวเหมือนดังที่พระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งได้กล่าวไว้คือ พระหัต, การได้ยิน, การเห็น โดยที่ไม่กล่าวต่อว่าเป็นอย่างไร และไม่กล่าวว่า การได้ยินได้เดียวกับการได้ยิน และไม่เหมือนกับการได้ยินของสิ่งถูกสร้าง อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการตัชบีฮ์ (การเปรียบอัลลอฮ์เหมือนสิ่งถูกสร้าง) ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ( ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพระองค์ และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น) สุนันอัตติรมีซีย์ กิตาบุซซะกาต ฮะดีษเลขที่ 598
คำพูดปิดท้ายฮะดีษของอิหม่ามติรมีซีย์ นี้ประหนึ่งว่าตีแสกหน้ากลุ่ม อะห์ลุ้ลกะลาม หรือ มุตะกัลลีมีน ที่มักอ้างว่า พวกเขาเป็น อะห์ลิสซุนนะห์วัลญะมาอะห์ เพราะอิหม่ามติรมีซีย์ได้ชี้ว่า ชาวสะลัฟและนักวิชาการของอะห์ลิสซุนนะห์นั้นจะไม่ตีความและวิพากษ์วิจารณ์ศิฟาตของอัลลอฮ์ แต่กลุ่มที่ตีความและวิพากษ์วิจารณ์คือ กลุ่มญะฮ์มียะห์
ถ้าเช่นนั้นการโพทนาของกลุ่มอะชาอิเราะห์ ที่อ้างว่าพวกเขาคือ อะห์ลิสซุนนะห์ ก็เป็นแค่คำลวง เพราะพวกเขาไม่ได้มีพื้นฐานความเชื่ออย่างสะลัฟ และอะห์ลิสซุนนะห์ แต่พวกเขากลับมีพื่นฐานแนวคิดเดียวกับกลุ่ม ญะฮ์มียะห์ นั่นเอง
ยิ่งกว่านั้น อะชาอิเราะห์ ยังหยิบคำของ ญะฮ์มียะห์ มากล่าวอ้างใส่ร้ายโจมตีผู้ที่เชื่อตามแนวทางของสะลัฟว่าเป็นพวกที่ “ตัชบิฮ์” คือการเปรียบอัลลอฮ์กับสิ่งถูกสร้าง
แต่อิหม่ามติรมีซีย์ได้นำเอาคำวิจารณ์ของท่าน อิสฮาก อิบนุ อิบรอฮีม มาชี้แจงว่า การเชื่อแบบชาวสะลัฟนั้นไม่ใช่การ “ตัชบีฮ์” คือ การเชื่อตามตัวบทโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ และไม่นำไปเปรียบเทียบกับสิ่งถูกสร้าง หมายถึงเชื่อว่า “มีแต่ไม่เหมือน” คือการเชื่อว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงมีลักษณะตามที่พระองค์ทรงแจ้งไว้แต่ไม่เหมือนสิ่งถูกสร้างใดๆ และนี่คือความเชื่อตามพื้นฐานของตัวบทที่ว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْئٌ وَهُوَ السَّمِيْعُ البَصِيْرُ
( ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพระองค์ และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น)
ข้อความของอายะห์ข้างต้นนี้คือหลักฐานปฏิเสธ “การเหมือน” มิได้เป็นหลักฐานปฏิเสธ “การมี”
หากแต่กลุ่ม อะชาอิเราะห์ เชื่อว่าเหมือน หมายถึงเชื่อว่า พระหัตคือมือหรือเหมือนมือของสิ่งถูกสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่านี่คือการ “ตัจญ์ซีม” หมายถึงการทำให้อัลลอฮ์มีรูปร่าง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพูดว่า พวกเขายอมรับในถ้อยคำแต่ไม่ยอมรับในความหมาย คือ พวกเขาอ่านอัลกุรอานเหมือนที่คนอื่นๆได้อ่าน แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะให้ความหมายตามถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า يد الله พวกเขาปฏิเสธที่จะให้ความหมายว่า พระหัตของอัลลอฮ์ แต่พวกเขาจะเอาความหมายของคำอื่นมาแทนที่เช่น อำนาจของอัลลอฮ์ อย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้เกิดจากพื้นฐานความเชื่อว่า “เหมือน” จึงนำไปสู่การปฏิเสธด้วยการกล่าวว่า “ไม่มี”
เรื่องอะกีดะห์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะพูดหรือเชื่ออย่างไรก็ได้ แต่ต้องมีหลักฐานจากอัลกุรอานและฮะดีษมายืนยัน เราเชื่อว่าพระองค์อัลลอฮ์ทรงมีคุณลักษณะตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้ แต่ไม่เหมือนกับสิ่งถูกสร้างใดๆ และไม่นำสติปัญญาไปก้าวล่วงว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นแนวทางของชาวสะลัฟตามที่แสดงหลักฐานไว้ข้างต้นแล้ว
หากแต่กลุ่มอะชาอิเราะห์มีความเชื่อที่แตกต่างไปจากนี้ เราจึงขอให้พวกเขาแสดงหลักฐานตามความเชื่อและการกระทำของพวกเขาคือ
1. แสดงหลักฐานว่ามีสิทธิ์หรือได้รับสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอัลลอฮ์
2. หลักฐานที่ยืนยันว่า พระองค์อัลลอฮ์ไม่มีคุณลักษณะตามที่พระองค์และรอซูลของพระองค์ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอานและฮะดีษ
เราหวังว่าพวกเขาจะมีหลักฐานและนำมาแสดงยืนยัน ความเชื่อและการกระทำของพวกเขาเป็นแน่แท้
ฟารีด เฟ็นดี้
จันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2557