เมื่อต้องเป็นผู้ไกล่เกลี่ย




จากกรณีความขัดแย้งระหว่าง เชคริฏอ สมะดี, อ.ซะรีฟ วงศ์เสงี่ยม, อ.อามีน ลอนา และ อ.อะห์หมัด ก้อพิทักษ์

ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า เชคริฏอ กับ อ.ซะรีฟ และ อ.อามีน มีความขัดแย้งระหว่างกัน จนกระทั่งก่อนเข้าเดือนรอมฏอนไม่นานนัก เพิ่งจะทราบระแคะระคาย แต่ก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
ย่างเข้าสู่วันที่ 7 ของเดือนรอมฏอน ได้มีแถลงการณ์ของเชคริฏอเรื่อง “ด้วยรักและห่วงใย” เผยแพร่ลงในเวปไซต์ http://www.islaminthailand.org/dp6/?q=story%2F5149 เนื้อหาของแถลงการณ์นี้ได้กล่าวโจมตี อ.อะห์หมัด, อ.ซะรีฟ และ อ.อามีน โดยไม่ได้มีการชี้แจงความถูกผิดทางวิชาการแต่อย่างใด ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ผู้ออกแถลงการณ์ และผู้ถูกโจมตีในแถลงการณ์เป็นอย่างมาก ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถให้คำตอบกับประชาชนได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและต้นตอของเรื่องนี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร
เมื่องานที่ “สื่ออนุรักษ์” ตรงกับวันเสาร์สัปดาห์ที่สองของเดือนรอมฏอน มีผู้ทำสำเนาแถลงการณ์ฉบับนี้จ่ายแจกไปทั่ว ผมเองได้ขึ้นเวทีชี้แจงและตักเตือนกับพี่น้องประชาชนว่า อย่าได้ยึดตัวบุคคล แต่ให้ยึด กิตาบุ้ลลอฮ์ และซุนนะห์ บนพื้นฐานความเข้าใจของศอฮาบะห์ เป็นที่ตั้งเพื่อความปลอดภัย ขณะเดียวกัน ก็เรียกร้องให้ผู้ขัดแย้งทุกฝ่าย ยุติการกล่าวร้ายโจมตีซึ่งกันและกันและหันหน้าเข้าสู่การเจรจาไกล่เกลี่ย บนพื้นฐานคำสั่งของอัลลอฮ์ ในซูเราะห์ อัลฮุจรอญจ์ อายะห์ที่ 9
หลังจากรอมฏอนผ่านไป 1 วัน ผมได้ติดต่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้เข้าสู่กระบวนการเจรจา ซึ่ง อ.ซะรีฟ, อ.อามีน และ อ.อะห์หมัด ยอมรับข้อเสนอโดยไม่มีเงื่อนไข ส่วนเชคริฏอ ยินยอมที่จะเจรจาแต่มีข้อแม้ว่า อ.ฟารีดต้องรับปากว่าจะคุมสามคนนั้นอยู่ เงื่อนไขนี้คืออุปสรรคที่ทำให้ผมไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะให้มีการเจรจา
ผมไปบรรยายในหลายสถานที่ก็ถูกสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละคนต่างก็แสดงความผิดหวังในความไว้วางใจที่มีต่อผู้ที่เขาเคารพนับถือ เมื่อผมกลับจากบรรยายที่ภาคใต้ ก็ทราบข่าวว่า ได้มีการชี้แจงจากคู่กรณีเป็นระลอก (ยกเว้น อ.อะห์หมัด ที่ไม่ได้ออกแถลงการณ์หรือคำชี้แจงเป็นลายลักอักษร) ขณะเดียวกัน ได้มีแถลงการณ์ของเชคริฏอ ออกมาอีก 1 ฉบับ เรื่อง “ชี้แจงปัญหาคนสร้างฟิตนะฮฺ” ซึ่งทำให้ร้อนใจว่า จะเกิดปัญหาลุกลามบานปลายไปอีก

แม้ผมจะไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้โดยตรงและไม่ทราบเบื้องลึกของปัญหา แต่ก็เกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนจนนำไปสู่การแบ่งขั้ว เลือกฝ่ายโดยไม่ทราบมูลเหตุที่แท้จริงของปัญหา จึงได้เริ่มต้นประสานงานให้มีการเจรจากันอีกครั้ง และได้ข้อสรุปจากทุกฝ่ายว่า ยินยอมที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจา โดยกำหนดเอาวันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2555 เวลา 21.00 น. ณ.มูลนิธิอนุรักษ์มรดกอิสลาม
การประชุมเจรจาหาข้อยุติในครั้งนี้ เชคริฏอ ได้นำคณะเข้าร่วมด้วยอีก 4 คน และ อ.ซะรีฟ กับ อ.อามีน ได้นำคณะเข้าร่วมด้วยอีก 3 คน ส่วน อ.อะห์หมัด มาเพียงลำพัง
ในการประชุมครั้งนี้ นอกจากผมจะเป็นผู้ดำเนินการไกล่เกลี่ยแล้ว ยังมีประธานมูลนิธิอนุรักษ์มรดกอิสลามและภรรยาเข้าร่วมประชุมด้วย
เมื่อเริ่มต้นการประชุมก็มีผู้นำโทรศัพท์บันทึกเสียงการประชุมด้วย ผมจึงอนุญาตให้ทุกคนได้มีสิทธิบันทึกเสียงได้เท่าเทียมกัน และคาดว่าเสียงที่บันทึกการประชุมคงแพร่กระจายไปทั่วสารทิศแล้ว
ขณะเดียวกันก็มีพี่น้องประชาชนเรียกร้องให้ผมสรุปผลของการประชุมให้ได้รับทราบว่าเป็นเช่นใด แต่ผมเชื่อว่า พี่น้องที่มีใจบริสุทธิ์ ไม่ลำเอียง และฝักใฝ่ฝ่ายใดก็คงจะพิจารณาได้ด้วยตนเอง
เรื่องที่ได้พูดคุยกันในที่ประชุมนั้น มีหลายประเด็นและหลายแง่หลายมุม ทั้งที่เกี่ยวกับประเด็นข้อขัดแย้งและไม่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นถ้าจะสรุปทุกประเด็นข้อพิพาทนี้คงต้องใช้เวลามาก และผมเองก็ไม่มีเวลามากมายขนาดนั้น
ปัญหาแรกที่หยิบยกมาพูดคุยกันคือ กรณีของเชคริฏอ กับ อ.อะห์หมัด อ้างถึงแถลงการณ์ของเชคริฏอ เรื่อง “ด้วยรักและห่วงใย”เผยแพร่ลงใน http://www.islaminthailand.org/dp6/?q=story%2F5149 เมื่อวันที่ 25/07/2012

บทสรุปของการเจรจาที่ผมรับฟังและพิจาณาได้มีดังนี้

1 – แถลงการณ์ของเชคริฏอฉบับดังกล่าว มิได้ชี้แจงข้อผิดพลาดของ อ.อะห์หมัด ในคำบรรยายหรือการนำเสนอข่าวที่อ้างว่ามีผลทำให้สังคมเสียหาย
2 – คำชี้แจงของเชคริฏอ ต่อการออกแถลงการณ์โจมตี อ.อะห์หมัด ไม่มีหลักฐานและเหตุผลตามสมควร ฉะนั้นแถลงการณ์ฉบับนี้จึงเป็นข้อกล่าวหาเลื่อนลอยที่ไร้น้ำหนัก
3 – ความไม่พอใจของเชคริฏอ ต่อ อ.อะห์หมัด ในการบรรยายร่วมกันที่งานโรงเรียนศาสนูปถัมภ์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเชคริฏอกล่าวว่า อ.อะห์หมัดพูดไม่ตรงกับหัวข้อบรรยายที่ทางเจ้าภาพตั้งให้ แต่กลับยกประเด็นความขัดแย้งกับ อ.มุรีด เรื่อง การอ่านศอลาวาตในตะชะฮุดครั้งแรก
อ.อะห์หมัด ชี้แจงว่า ได้โทรคุยกับ อ.มุรีด ก่อนแล้ว
อ.ฟารีด กล่าวว่า ในฐานะเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายในงานครั้งนั้น ขอชี้แจงว่า ได้สอบถามทั้ง อ.อะห์หมัด และ อ.มุรีด ก่อนขึ้นเวทีร่วมกัน และทั้งก็ยืนยันว่าพร้อมจะชี้แจง แต่เชคริฏอไม่ทราบประเด็นนี้
อ.อะห์หมัด แย้งว่า เมื่อเชคริฏอ ถูกเชิญบรรยายที่สื่ออนุรักษ์ ก็ไม่พูดตามหัวข้อ เช่นไปบรรยายเรื่องกอดิยานีย์,โจมตีจฬา,และ อ.ตอฮา อับดุลลอฮ์ เป็นต้น
4 – กรณีความไม่พอใจของเชคริฏอ ต่อ อ.อะห์หมัด ที่คัดค้านเรื่องประท้วงกรณีฮิญาบที่วัดหนองจอก ซึ่ง อ.อะห์หมัด ได้อ้างหลักฐานจากซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 140 ซึ่งเชคริฏอไม่ได้นำหลักฐานหักล้างในทางวิชาการ
5 – ผู้ร่วมประชุมเสนอว่า ให้เชคริฏอ ตัฟซีร ซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 140 แต่เชคริฏอไม่รับปาก
6 – กรณีการแปลข่าวเกี่ยวกับ “อิควาน” อ.อะห์หมัด แจ้งที่ประชุมว่า ไม่ได้แปลเพียงลำพัง แต่ให้ อ.ฟารีด ช่วยแปลและตรวจสอบคำแปลด้วย เชคริฏอ ชี้แจงว่า ไม่ได้บอกว่า อ.อะห์หมัด แปลผิด แต่บอกว่า อ.อะห์หมัด ไม่รอบคอบในการอ้างแหล่งข่าว
7 – ข้อความในแถลงการณ์ของเชคริฏอ ระบุว่า “ในการนี้ข้าพเจ้าได้ดำรงหลักการศาสนาในการตักเตือนสามท่านนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม” ซึ่งประเด็นนี้ เชคริฏอ ยอมรับกับผมและที่ประชุมว่า ไม่เคยมีการตักเตือนทั้งทางตรงและทางอ้อมในประเด็นที่ออกแถลงการณ์มาก่อน ดังนั้นข้อความที่ถูกระบุในแถลงการณ์จึงเป็นเท็จ
8 – ผมพิจารณาว่า ทั้ง อ.อะห์หมัด อ.ซะรีฟ และ อ.อามีน ไม่ได้เรียกร้องให้เชคริฏอ กล่าวขอโทษในกรณีกล่าวเท็จในแถลงการณ์ตามข้อที่ 3 ผมจึงร้องขอว่า ให้เชคริฏอคืนคำว่า “อาจารย์” นำหน้าชื่อแทนการเรียก นายอะห์หมัด แต่เชคริฏอไม่ยินยอม
9 – ที่ประชุมร้องขอให้ เชคริฏอ ปลดแถลงการณ์ดังกล่าวออกจากเว็ปไซต์ แต่เชคริฏอยืนกรานว่าจะไม่ปลดออก

ส่วนกรณีของ อิตวาน นั้น ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ก็สรุปได้ดังนี้

9 – อ.ฟารีด ถามผู้เข้าร่วมประชุมว่า ในที่นี้มีใครเป็นอิควานบ้าง ในที่ประชุมมีบางคนปฏิเสธและบางคนก็วางเฉย อ.ฟารีด จึงกล่าวว่า ถ้าไม่มีใครในที่นี้เป็นอิควานแล้วทำไมเราต้องเอาเรื่องของเขามาทะเลาะกัน
10 – อ.ฟารีด กล่าวว่า อิควาน มีทั้งถูกและผิด ซึ่งเชคริฏอและผู้เข้าร่วมประชุมยอมรับ
11 – อ.ฟารีด สรุปในประเด็นนี้ว่า สิ่งถูกก็ต้องบอกว่าถูกและสิ่งผิดก็ต้องบอกว่าผิด นี่คือมาตรฐานของศาสนา

ส่วนประเด็นที่เหลือ ท่านฟังแล้วสรุปกันเองเถิด

ที่จริงแล้ว เกี่ยวกับข้อขัดแย้งนี้ ผมพยายามดำเนินการให้เป็นเรื่องภายในมาตลอด แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างก็เปิดประเด็นต่อสาธารณะไม่ยอมลดราวาศอกต่อกัน และไฟล์เสียงการประชุมต่างก็บันทึกเอาไปแจกจ่ายกันฟังโดยถ้วนทั่วแล้ว ก็หวังว่าทุกคนที่ร่วมเหตุการณ์และร่วมรับฟังจะมีสติตั้งมั่นในฐานะของบ่าวที่ต้องการสวรรค์ และทุกคนจะต้องไปจะต้องไปตอบกับอัลลอฮ์ในวันกิยามะห์

ผมทำหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยและเขียนคำชี้แจงนี้ด้วยความขมขื่น แต่ก็ไม่มีทางเลือก เหมือนดังเช่นที่ เชคริฏอ ได้เขียนไว้ท้ายแถลงการณ์ “ด้วยรักและห่วงใย” ว่า
ความจริงและสัจธรรมจำต้องไม่เอาใจใคร แม้แต่ผู้เป็นมิตร ดังที่อัลลอฮฺตรัสไว้ในซูเราะตุนนิซาอฺ อายะฮฺ 135 ว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُونُوا قَوَّامِينَ بِالْقِسْطِ شُهَدَاءَ لِلَّـهِ وَلَوْ عَلَىٰ أَنفُسِكُمْ أَوِ الْوَالِدَيْنِ وَالْأَقْرَبِينَ


“ผู้ ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเป็นผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม จงเป็นพยานเพื่ออัลลอฮฺ และแม้ว่าจะเป็นอันตรายแก่ตัวของพวกเจ้าเอง หรือผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม”