บุคคอรี/หมวดที่1/บทที่6/ฮะดีษเลขที่7
أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَبَّاسٍ، أَخْبَرَهُ أَنَّ أَبَا سُفْيَانَ بْنَ حَرْبٍ أَخْبَرَهُ أَنَّ هِرَقْلَ أَرْسَلَ إِلَيْهِ فِي رَكْبٍ مِنْ قُرَيْشٍ ـ وَكَانُوا تُجَّارًا بِالشَّأْمِ ـ فِي الْمُدَّةِ الَّتِي كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مَادَّ فِيهَا أَبَا سُفْيَانَ وَكُفَّارَ قُرَيْشٍ، فَأَتَوْهُ وَهُمْ بِإِيلِيَاءَ فَدَعَاهُمْ فِي مَجْلِسِهِ، وَحَوْلَهُ عُظَمَاءُ الرُّومِ ثُمَّ دَعَاهُمْ وَدَعَا بِتَرْجُمَانِهِ فَقَالَ أَيُّكُمْ أَقْرَبُ نَسَبًا بِهَذَا الرَّجُلِ الَّذِي يَزْعُمُ أَنَّهُ نَبِيٌّ فَقَالَ أَبُو سُفْيَانَ فَقُلْتُ أَنَا أَقْرَبُهُمْ نَسَبًا‏.‏ فَقَالَ أَدْنُوهُ مِنِّي، وَقَرِّبُوا أَصْحَابَهُ، فَاجْعَلُوهُمْ عِنْدَ ظَهْرِهِ‏.‏ ثُمَّ قَالَ لِتَرْجُمَانِهِ قُلْ لَهُمْ إِنِّي سَائِلٌ هَذَا عَنْ هَذَا الرَّجُلِ، فَإِنْ كَذَبَنِي فَكَذِّبُوهُ‏.‏ فَوَاللَّهِ لَوْلاَ الْحَيَاءُ مِنْ أَنْ يَأْثِرُوا عَلَىَّ كَذِبًا لَكَذَبْتُ عَنْهُ، ثُمَّ كَانَ أَوَّلَ مَا سَأَلَنِي عَنْهُ أَنْ قَالَ كَيْفَ نَسَبُهُ فِيكُمْ قُلْتُ هُوَ فِينَا ذُو نَسَبٍ‏.‏ قَالَ فَهَلْ قَالَ هَذَا الْقَوْلَ مِنْكُمْ أَحَدٌ قَطُّ قَبْلَهُ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَأَشْرَافُ النَّاسِ يَتَّبِعُونَهُ أَمْ ضُعَفَاؤُهُمْ فَقُلْتُ بَلْ ضُعَفَاؤُهُمْ‏.‏ قَالَ أَيَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ قُلْتُ بَلْ يَزِيدُونَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ يَرْتَدُّ أَحَدٌ مِنْهُمْ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ كُنْتُمْ تَتَّهِمُونَهُ بِالْكَذِبِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ مَا قَالَ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ يَغْدِرُ قُلْتُ لاَ، وَنَحْنُ مِنْهُ فِي مُدَّةٍ لاَ نَدْرِي مَا هُوَ فَاعِلٌ فِيهَا‏.‏ قَالَ وَلَمْ تُمْكِنِّي كَلِمَةٌ أُدْخِلُ فِيهَا شَيْئًا غَيْرُ هَذِهِ الْكَلِمَةِ‏.‏ قَالَ فَهَلْ قَاتَلْتُمُوهُ قُلْتُ نَعَمْ‏.‏ قَالَ فَكَيْفَ كَانَ قِتَالُكُمْ إِيَّاهُ قُلْتُ الْحَرْبُ بَيْنَنَا وَبَيْنَهُ سِجَالٌ، يَنَالُ مِنَّا وَنَنَالُ مِنْهُ‏.‏ قَالَ مَاذَا يَأْمُرُكُمْ قُلْتُ يَقُولُ اعْبُدُوا اللَّهَ وَحْدَهُ، وَلاَ تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئًا، وَاتْرُكُوا مَا يَقُولُ آبَاؤُكُمْ، وَيَأْمُرُنَا بِالصَّلاَةِ وَالصِّدْقِ وَالْعَفَافِ وَالصِّلَةِ‏.‏ فَقَالَ لِلتَّرْجُمَانِ قُلْ لَهُ سَأَلْتُكَ عَنْ نَسَبِهِ، فَذَكَرْتَ أَنَّهُ فِيكُمْ ذُو نَسَبٍ، فَكَذَلِكَ الرُّسُلُ تُبْعَثُ فِي نَسَبِ قَوْمِهَا، وَسَأَلْتُكَ هَلْ قَالَ أَحَدٌ مِنْكُمْ هَذَا الْقَوْلَ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، فَقُلْتُ لَوْ كَانَ أَحَدٌ قَالَ هَذَا الْقَوْلَ قَبْلَهُ لَقُلْتُ رَجُلٌ يَأْتَسِي بِقَوْلٍ قِيلَ قَبْلَهُ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، قُلْتُ فَلَوْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ قُلْتُ رَجُلٌ يَطْلُبُ مُلْكَ أَبِيهِ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ كُنْتُمْ تَتَّهِمُونَهُ بِالْكَذِبِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ مَا قَالَ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، فَقَدْ أَعْرِفُ أَنَّهُ لَمْ يَكُنْ لِيَذَرَ الْكَذِبَ عَلَى النَّاسِ وَيَكْذِبَ عَلَى اللَّهِ، وَسَأَلْتُكَ أَشْرَافُ النَّاسِ اتَّبَعُوهُ أَمْ ضُعَفَاؤُهُمْ فَذَكَرْتَ أَنَّ ضُعَفَاءَهُمُ اتَّبَعُوهُ، وَهُمْ أَتْبَاعُ الرُّسُلِ، وَسَأَلْتُكَ أَيَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ فَذَكَرْتَ أَنَّهُمْ يَزِيدُونَ، وَكَذَلِكَ أَمْرُ الإِيمَانِ حَتَّى يَتِمَّ، وَسَأَلْتُكَ أَيَرْتَدُّ أَحَدٌ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، وَكَذَلِكَ الإِيمَانُ حِينَ تُخَالِطُ بَشَاشَتُهُ الْقُلُوبَ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ يَغْدِرُ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، وَكَذَلِكَ الرُّسُلُ لاَ تَغْدِرُ، وَسَأَلْتُكَ بِمَا يَأْمُرُكُمْ، فَذَكَرْتَ أَنَّهُ يَأْمُرُكُمْ أَنْ تَعْبُدُوا اللَّهَ، وَلاَ تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئًا، وَيَنْهَاكُمْ عَنْ عِبَادَةِ الأَوْثَانِ، وَيَأْمُرُكُمْ بِالصَّلاَةِ وَالصِّدْقِ وَالْعَفَافِ‏.‏ فَإِنْ كَانَ مَا تَقُولُ حَقًّا فَسَيَمْلِكُ مَوْضِعَ قَدَمَىَّ هَاتَيْنِ، وَقَدْ كُنْتُ أَعْلَمُ أَنَّهُ خَارِجٌ، لَمْ أَكُنْ أَظُنُّ أَنَّهُ مِنْكُمْ، فَلَوْ أَنِّي أَعْلَمُ أَنِّي أَخْلُصُ إِلَيْهِ لَتَجَشَّمْتُ لِقَاءَهُ، وَلَوْ كُنْتُ عِنْدَهُ لَغَسَلْتُ عَنْ قَدَمِهِ‏.‏ ثُمَّ دَعَا بِكِتَابِ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم الَّذِي بَعَثَ بِهِ دِحْيَةُ إِلَى عَظِيمِ بُصْرَى، فَدَفَعَهُ إِلَى هِرَقْلَ فَقَرَأَهُ فَإِذَا فِيهِ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ‏.‏ مِنْ مُحَمَّدٍ عَبْدِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ إِلَى هِرَقْلَ عَظِيمِ الرُّومِ‏.‏ سَلاَمٌ عَلَى مَنِ اتَّبَعَ الْهُدَى، أَمَّا بَعْدُ فَإِنِّي أَدْعُوكَ بِدِعَايَةِ الإِسْلاَمِ، أَسْلِمْ تَسْلَمْ، يُؤْتِكَ اللَّهُ أَجْرَكَ مَرَّتَيْنِ، فَإِنْ تَوَلَّيْتَ فَإِنَّ عَلَيْكَ إِثْمَ الأَرِيسِيِّينَ وَ‏{‏يَا أَهْلَ الْكِتَابِ تَعَالَوْا إِلَى كَلِمَةٍ سَوَاءٍ بَيْنَنَا وَبَيْنَكُمْ أَنْ لاَ نَعْبُدَ إِلاَّ اللَّهَ وَلاَ نُشْرِكَ بِهِ شَيْئًا وَلاَ يَتَّخِذَ بَعْضُنَا بَعْضًا أَرْبَابًا مِنْ دُونِ اللَّهِ فَإِنْ تَوَلَّوْا فَقُولُوا اشْهَدُوا بِأَنَّا مُسْلِمُونَ‏}‏ قَالَ أَبُو سُفْيَانَ فَلَمَّا قَالَ مَا قَالَ، وَفَرَغَ مِنْ قِرَاءَةِ الْكِتَابِ كَثُرَ عِنْدَهُ الصَّخَبُ، وَارْتَفَعَتِ الأَصْوَاتُ وَأُخْرِجْنَا، فَقُلْتُ لأَصْحَابِي حِينَ أُخْرِجْنَا لَقَدْ أَمِرَ أَمْرُ ابْنِ أَبِي كَبْشَةَ، إِنَّهُ يَخَافُهُ مَلِكُ بَنِي الأَصْفَرِ‏.‏ فَمَا زِلْتُ مُوقِنًا أَنَّهُ سَيَظْهَرُ حَتَّى أَدْخَلَ اللَّهُ عَلَىَّ الإِسْلاَمَ‏.‏ وَكَانَ ابْنُ النَّاظُورِ صَاحِبُ إِيلِيَاءَ وَهِرَقْلَ سُقُفًّا عَلَى نَصَارَى الشَّأْمِ، يُحَدِّثُ أَنَّ هِرَقْلَ حِينَ قَدِمَ إِيلِيَاءَ أَصْبَحَ يَوْمًا خَبِيثَ النَّفْسِ، فَقَالَ بَعْضُ بَطَارِقَتِهِ قَدِ اسْتَنْكَرْنَا هَيْئَتَكَ‏.‏ قَالَ ابْنُ النَّاظُورِ وَكَانَ هِرَقْلُ حَزَّاءً يَنْظُرُ فِي النُّجُومِ، فَقَالَ لَهُمْ حِينَ سَأَلُوهُ إِنِّي رَأَيْتُ اللَّيْلَةَ حِينَ نَظَرْتُ فِي النُّجُومِ مَلِكَ الْخِتَانِ قَدْ ظَهَرَ، فَمَنْ يَخْتَتِنُ مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ قَالُوا لَيْسَ يَخْتَتِنُ إِلاَّ الْيَهُودُ فَلاَ يُهِمَّنَّكَ شَأْنُهُمْ وَاكْتُبْ إِلَى مَدَايِنِ مُلْكِكَ، فَيَقْتُلُوا مَنْ فِيهِمْ مِنَ الْيَهُودِ‏.‏ فَبَيْنَمَا هُمْ عَلَى أَمْرِهِمْ أُتِيَ هِرَقْلُ بِرَجُلٍ أَرْسَلَ بِهِ مَلِكُ غَسَّانَ، يُخْبِرُ عَنْ خَبَرِ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فَلَمَّا اسْتَخْبَرَهُ هِرَقْلُ قَالَ اذْهَبُوا فَانْظُرُوا أَمُخْتَتِنٌ هُوَ أَمْ لاَ‏.‏ فَنَظَرُوا إِلَيْهِ، فَحَدَّثُوهُ أَنَّهُ مُخْتَتِنٌ، وَسَأَلَهُ عَنِ الْعَرَبِ فَقَالَ هُمْ يَخْتَتِنُونَ‏.‏ فَقَالَ هِرَقْلُ هَذَا مَلِكُ هَذِهِ الأُمَّةِ قَدْ ظَهَرَ‏.‏ ثُمَّ كَتَبَ هِرَقْلُ إِلَى صَاحِبٍ لَهُ بِرُومِيَةَ، وَكَانَ نَظِيرَهُ فِي الْعِلْمِ، وَسَارَ هِرَقْلُ إِلَى حِمْصَ، فَلَمْ يَرِمْ حِمْصَ حَتَّى أَتَاهُ كِتَابٌ مِنْ صَاحِبِهِ يُوَافِقُ رَأْىَ هِرَقْلَ عَلَى خُرُوجِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم وَأَنَّهُ نَبِيٌّ، فَأَذِنَ هِرَقْلُ لِعُظَمَاءِ الرُّومِ فِي دَسْكَرَةٍ لَهُ بِحِمْصَ ثُمَّ أَمَرَ بِأَبْوَابِهَا فَغُلِّقَتْ، ثُمَّ اطَّلَعَ فَقَالَ يَا مَعْشَرَ الرُّومِ، هَلْ لَكُمْ فِي الْفَلاَحِ وَالرُّشْدِ وَأَنْ يَثْبُتَ مُلْكُكُمْ فَتُبَايِعُوا هَذَا النَّبِيَّ، فَحَاصُوا حَيْصَةَ حُمُرِ الْوَحْشِ إِلَى الأَبْوَابِ، فَوَجَدُوهَا قَدْ غُلِّقَتْ، فَلَمَّا رَأَى هِرَقْلُ نَفْرَتَهُمْ، وَأَيِسَ مِنَ الإِيمَانِ قَالَ رُدُّوهُمْ عَلَىَّ‏.‏ وَقَالَ إِنِّي قُلْتُ مَقَالَتِي آنِفًا أَخْتَبِرُ بِهَا شِدَّتَكُمْ عَلَى دِينِكُمْ، فَقَدْ رَأَيْتُ‏.‏ فَسَجَدُوا لَهُ وَرَضُوا عَنْهُ، فَكَانَ ذَلِكَ آخِرَ شَأْنِ هِرَقْلَ‏.‏ رَوَاهُ صَالِحُ بْنُ كَيْسَانَ وَيُونُسُ وَمَعْمَرٌ عَنِ الزُّهْرِيِّ‏ 

                   อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบาส ได้บอกกับเขา (ผู้รายงาน)ว่า อบูซุฟยาน บินฮัรบ์ ได้บอกกับเขาว่า จักรพรรดิ์ เฮราคลิอุส (แห่งโรมัน) ทรงรับสั่งให้เรียกเขากับขบวนพ่อค้าจากกุรอยซ์ที่ไปค้าขายยังแคว้นชาม (ปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศชีเรีย,ปาเลสไตน์,เลบานอน และจอร์แดน) ให้เข้าเฝ้าขณะนั้นเป็นช่วงระยะเวลาของการทำสัญญาสงบศึกที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำไว้กับ อบูซุฟยานและชาวกุรอยช์ที่ปฏิเสธการศรัทธา ดังนั้นพวกเขา (อบูซุฟยานกับพวก) จึงไปเข้าเฝ้าพระองค์ ณ.เมืองอีลียาอ์ (ปัจจุบันคือกรุงเยรูซาเล็ม) โดยพระองค์ได้เชิญพวกเขาไปที่ท้องพระโรง ที่นั่นมีบรรดาอำมาตย์โรมันรายล้อมพระองค์อยู่, พระองค์ทรงรับสั่งเรียกพวกเขาเข้าพบพร้อมทั้งรับสั่งให้เรียกล่ามของพระองค์มาด้วย
                 พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่มีเชื้อสายใกล้ชิดมากที่สุดกับชายผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นนบี  อบูซุฟยานได้ตอบว่า ฉันมีเชื้อสายใกล้ชิดกับเขามากที่สุด  พระองค์ตรัสว่า ให้เขา (อบูซุฟยาน) เข้ามาใกล้ๆข้า และให้พรรคพวกของเขาเข้ามาด้วยแต่ให้อยู่ด้านหลัง  แล้วพระองค์ก็ตรัสกับล่ามของพระองค์ว่า บอกกับพวกเขาซิว่า ข้าจะถามพวกเขาเกี่ยวกับชายผู้นี้ (คือถามเกี่ยวกับท่านนบี)  ถ้าเขา (อบูซุฟยาน) ตอบข้าด้วยความมดเท็จ ก็ให้พรรคพวกของเขาแย้งว่าเขาพูดเท็จ เขากล่าวว่า หากไม่ใช่เพราะความอายที่เกรงว่าพรรคพวกของฉันจะประณามฉันละก็ ฉันก็คงโกหกในเรื่องของท่านนบีไปแล้ว
                 คำถามแรกที่พระองค์ทรงถามฉันด้วยการตรัสว่า ชาติตระกูลของเขา (ท่านนบี) ในหมู่พวกเจ้าเป็นเช่นใด ฉันตอบว่า เขามีชาติตระกูลสูงในหมู่พวกเรา  พระองค์ตรัสว่า มีใครในหมู่พวกเจ้าเคยเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ไหม ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า บรรพบุรุษของเขาเคยมีใครเป็นกษัตริย์ไหม ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า บรรดาผู้ที่ภักดีต่อเขานั้นเป็นคนชั้นสูงหรือคนระดับล่าง ฉันตอบว่า พวกเขาเป็นคนระดับล่าง พระองค์ตรัสว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือลดลง ฉันตอบว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้น พระองค์ตรัสว่า มีใครในหมู่พวกเขาที่ออกจากศาสนาเนื่องจากไม่พอใจหลังจากที่ได้ศรัทธาแล้วหรือไม่ ฉันตอบว่า ไม่มีครับ  พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าเคยกล่าวหาว่าเขาพูดเท็จก่อนหน้าที่เขาจะอ้างว่าเป็นนบีหรือไม่ ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า เขาเคยผิดสัญญาไหม ฉันตอบว่า ไม่เคยครับ ขณะนี้พวกเรากับเขาอยู่ระหว่างสัญญาสงบศึก แต่เราไม่รู้ว่า ต่อไปเขาจะละเมิดสัญญาหรือไม่  เขา (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า  ฉันไม่สามารถที่จะสอดแทรกคำพูดใดๆ ที่เป็นเท็จได้เลย พระองค์ถามต่อว่า พวกเจ้าเคยทำสงครามกับเขาไหม ฉันตอบว่า เคยครับ พระองค์ตรัสว่า แล้วผลเป็นเช่นใดบ้าง ฉันตอบว่า บางครั้งเขาก็มีชัยชนะเหนือพวกเรา และบางครั้งเราก็มีชัยชนะเหนือเขา  พระองค์ตรัสว่า เขาใช้ให้พวกเจ้าทำอะไรบ้าง  ฉันตอบว่า เขาบอกกับพวกเราว่า จงสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียวและอย่าได้นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเจ้าจงละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเจ้ากล่าวกัน เขาใช้เราให้ทำละหมาด,ให้พูดความจริง, รู้จักให้อภัย, และให้สัมพันธ์ดีต่อเครือญาติ
  
                 พระองค์ได้ตรัสแก่ล่ามของพระองค์ว่า บอกเขาซิว่า ที่ข้าถามเจ้าเกี่ยวกับเชื้อสายวงศ์วานของเขา แล้วเจ้าตอบว่า เขามีชาติตระกูลสูงศักดิ์ นั่นแหละ (ชาติตระกูลของ) บรรดาศาสนทูตทุกคนที่ถูกส่งมาท่ามกลางกลุ่มชนที่มีชาติตระกูลสูง และที่ข้าถามเจ้าว่า ในหมู่พวกเจ้าเคยมีใครเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่มี,  ฉัน (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า  หากมีใครสักคนเคยเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้มาก่อน ฉันก็จะบอกว่า เขาเพียงแค่เรียกร้องตามที่ (วงศ์วานของเขา) ได้เรียกร้องมาแล้ว พระองค์กล่าวว่า เมื่อข้าถามเจ้าว่า บรรพบุรุษของเขามีใครเคยเป็นกษัตริย์ไหม  เจ้าก็ตอบว่า ไม่เคยมี, ฉัน (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า หากบรรพบุรุษคนใดของเขาเคยเป็นกษัตริย์ ฉันก็จะบอกว่า เขาเรียกร้องสิทธิ์เพื่อการเป็นกษัตริย์ตามบรรพบุรุษ  พระองค์ตรัสว่า เมื่อข้าถามเจ้าว่า พวกเจ้าเคยกล่าวหาว่าเขาโกหกก่อนหน้าที่เขาจะอ้างว่าเป็นนบีไหม  เจ้าก็ตอบว่า ไม่เคย  ฉัน (อบูซุฟยาน) จึงรู้ว่า ผู้ที่ไม่เคยโกหกต่อมนุษย์จะเป็นผู้อ้างเท็จต่ออัลลอฮ์ได้อย่างไร พระองค์ตรัสว่า ที่ข้าถามเจ้าว่า ผู้ที่เชื่อตามเขาเป็นชนชั้นสูงหรือเป็นคนระดับล่าง  เจ้าก็ตอบว่า เป็นคนระดับล่าง คนอย่างนี้แหละที่ปฏิบัติตามบรรดารอซูล, พระองค์ตรัสว่า และที่ข้าถามเจ้าว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง เจ้าก็ตอบว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้แหละคือเรื่องราวของการศรัทธาจนกว่ามันจะครบถ้วนสมบูรณ์ และที่ข้าถามเจ้าว่า มีคนใดที่ออกจากศาสนาด้วยความไม่พอใจหลังจากที่ได้ศรัทธาแล้วหรือไม่ เจ้าก็ตอบว่า ไม่มี  นี่แหละคือความปิติยินดีที่ฝังรากลึกในหัวใจ  และที่ข้าถามเจ้าว่า เขาเคยผิดสัญญาไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่เคย นี่แหละบรรดารอซูลจะไม่ผิดสัญญา และที่ข้าถามเจ้าว่า เขาใช้พวกเจ้าเรื่องใดบ้าง เจ้าก็ตอบว่า เขาใช้พวกเจ้าให้สักการะต่ออัลลอฮ์โดยไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ และเขาห้ามพวกเจ้าไม่ให้สักการะต่อเจว็ด, เขาใช้พวกเจ้าให้ละหมาด,ให้พูดความจริง,รู้จักการให้อภัย
 
                 ดังนั้นถ้าหากสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง อีกไม่นานเขาก็จะมาครอบครองแผ่นดินที่ข้ายืนอยู่นี้ ทั้งๆที่ข้าก็รู้ (จากคัมภีร์อัตเตารอตและอัลอินญีล) ว่าเขาจะปรากฏขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนในหมู่พวกเจ้า หากข้ารู้มาก่อนหน้านี้,ข้าก็จะดั้นด้นไปพบเขา และหากข้าได้อยู่กับเขา ข้าจะล้างเท้าให้เขา
                 หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงรับสั่งให้นำสานส์ของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็ลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม มาให้ ซึ่งสานส์นั้นฝากส่งไปกับ ดิฮ์ยะห์ ถึงเจ้านครบุศรอ แล้วส่งต่อไปยัง จักรพรรดิ เฮราคลิอุส ซึ่งพระองค์ได้ทรงอ่านสานส์นั้นมีใจความว่า

 
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตาต่อสรรพสิ่งในโลกนี้ และเมตตาต่อผู้ศรัทธาในโลกหน้า



จากมูฮัมหมัด บ่าวของอัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์
ถึง เฮราคลิอุส จักรพรรดิ์แห่งกรุงโรม
ขอศานติได้ประสบแก่ผู้ปฏิบัติตามทางนำด้วยเถิด

 
                ฉันขอเชิญชวนท่านให้รับอิสลาม จงเป็นมุสลิมเถิดท่านจะได้ปลอดภัย พระองค์อัลลอฮ์จะให้รางวัลแก่ท่านสองเท่า แต่หากท่านปฏิเสธ,บาปของประชาราษฎร์ก็จะตกอยู่ที่ท่าน และ (ฉันนำสานส์ของอัลลอฮ์ถึงท่านว่า) “โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย จงมาสู่ถ้อยความที่เท่ากันระหว่างพวกเรากับพวกท่าน คือ การที่เราจะไม่สักการะต่อสิ่งใดนอกจากอัลลอฮ์ และเราจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ และพวกเราบางคนจะไม่ยึดเอาบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ ถ้าพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกเจ้าจงเป็นพยานด้วยว่าเราเป็นผู้นอบน้อม”  (ซุเราะห์ อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 64)

 
                อบูซุฟยานได้กล่าวว่า เมื่อจักรพรรดิเฮราคลิอุส ได้ตรัสเสร็จสิ้นและได้อ่านข้อความในจดหมายจนจบ ก็มีเสียงเอ็ดตะโรเกิดขึ้น ณ.ที่พระองค์ และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ พวกเราถูกนำออกไปด้านนอก ขณะนั้นฉันได้กล่าวแก่พรรคพวกของฉันว่า เรื่องของ อิบนุอบีกั๊บชะห์ (คำเปรียบเปรยดูแคลนที่ใช้เรียกแทนชื่อท่านนบีมูฮัมหมัด) ได้กลายเป็นจุดเด่นไปเสียแล้ว แม้แต่จักรพรรดิแห่ง บะนีอัล-อัสฟัร (อณาจักรโรมัน)  ยังกลัวเขา ซึ่งฉันแน่ใจว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในไม่ช้า จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้ให้ฉันเข้ารับอิสลาม

 
                *อิบนุลนาตูร  บทหลวงคริสตังแห่งแคว้นชาม (ปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศชีเรีย,ปาเลสไตน์,เลบานอน และจอร์แดน)   ซึ่งเป็นพระสหายเจ้านครอีลียาอ์ (กรุงเยรูซาเล็ม) และจักรพรรดิ เฮราคลิอุส  ได้เล่าว่า  เมื่อครั้งที่จักรพรรดิเฮราคลิอุส เสด็จมาที่นครอีลียาอ์ พระองค์ทรงตื่นจากบรรทมในยามเช้าอย่างเศร้าหมอง, บาทหลวงได้ทักว่า พวกเราสังเกตเห็นอาการเปลี่ยนไปของพระองค์ อิบนุลนาตูร ได้กล่าวว่า จักรพรรดิเฮราคลิอุส เป็นนักทำนายเกี่ยวกับวิถีโคจรของดวงดาว พระองค์ทรงตรัสแก่พวกเขาว่า เมื่อคืนนี้ขณะที่ข้าดูดาว,ข้าได้เห็นกษัตริย์ที่ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยเพศได้ปรากฏขึ้น, แล้วใครเล่าในประชาชาตินี้ที่ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยเพศ พวกเขาตอบว่า ไม่มีผู้ใดหรอก นอกจากชาวยิว ฉะนั้นขอพระองค์ทรงอย่ากังวนกับพวกเขาเลย ขอพระองค์ได้ทรงส่งสาสน์ไปยังแว่นแค้วนต่างๆ ในอณาจักรของพระองค์ โดยรับสั่งให้สังหารชาวยิวให้หมด
                 ขณะที่พวกเขากำลังปรึกษากันอยู่ ก็มีชายผู้หนึ่งถูกส่งตัวมาจากกษัตริย์ของ ฆ๊อสซาน ให้มาพบกับจักรพรรดิ เฮราคลิอุส เพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เมื่อจักรพรรดิ เฮราคลิอุส ได้ทราบเรื่อง ก็รับสั่งว่า พวกเจ้าจงไปดูซิว่า เขาขลิบหนังหุ้มปลายอวัยเพศหรือเปล่า หลังจากที่พวกเขาไปดูแล้วก็กลับมาทูลพระองค์ว่า เขาขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศแล้ว พระองค์ได้ถามเขาเกี่ยวกับชาวอาหรับ เขาตอบว่า พวกเขา (ชาวอาหรับ) ได้ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยเพศ จักรพรรดิ เฮราคลิอุส ทรงตรัสว่า กษัตริย์แห่งประชาชาตินี้ได้ปรากฏแล้ว
                 หลังจากนั้น จักรพรรดิ เฮราคลิอุส ได้ส่งสาสน์ไปยังพระสหายคนหนึ่งของพระองค์ ที่มีความรอบรู้เช่นเดียวกับพระองค์ในกรุงโรม  และจักรพรรดิ เฮราคลิอุสได้เสด็จไปที่แค้วน ฮิมซ์ และทรงประทับอยู่ที่นั่น จนกระทั่งพระองค์ได้รับจดหมายตอบกลับจากพระสหายของพระองค์ ที่มีความเห็นสอดคล้องกับพระองค์เรื่องการปรากฏของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และยืนยันว่าท่านคือนบีจริงๆ
                 จักรพรรดิ เฮราคลิอุส ได้เรียกประชุมบรรดาอำมาตย์ของพระองค์ ณ.พระราชวังของพระองค์ที่แคว้นฮิมซ์ โดยรับสั่งให้ปิดประตูวังให้หมดทุกด้าน แล้วพระองค์ก็เสด็จออกมา พลางรับสั่งว่า โอ้ชาวโรมันทั้งหลาย พวกเจ้าต้องการชัยชนะและการชี้นำที่ถูกต้อง ในอันที่จะทำให้อณาจักรของพวกเจ้าคงอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจงให้สัตยาบันต่อนบีคนนี้
                  ปรากฏว่าพวกเขาต่างก็วิ่งกรูกันไปที่ประตูวังดั่งลาป่าแตกแถว แต่พบว่าประตูวังถูกปิดทั้งหมด ครั้นเมื่อ จักรพรรดิ เฮราคลิอุส ได้เห็นความเกลียดและหมดหวังในการศรัทธาของพวกเขา (ที่มีต่อท่านนบีมูฮัมหมัด) พระองค์จึงรับสั่งว่า ไปนำพวกเขากลับมาหาข้า แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า ที่ข้าพูดไปเมื่อสักครู่นี้เพียงเพื่อทดสอบพวกเจ้า ในความเข็มแข็งของพวกเจ้าที่มีต่อศาสนาของพวกเจ้าเท่านั้นเอง และข้าก็ได้เห็นแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงก้มลงกราบพระองค์และพึงพอใจต่อพระองค์มาก
                 และนี่เป็นเหตุการณ์สุดท้ายของจักรพรรดิ เฮราคลิอุส

 
                หมายเหตุ  ข้อความจากนี้ * รายงานโดย ซอและห์ อิบนุกัยซาน, ยูนุส, มะอ็มัร จากท่านซุฮ์รีย์


อ้งอิงเพิ่มเติม ฮะดีษเลขที่ 51,2681,2804,2941,2978,3174,4553,5980,6260,7196,7541





ฮะดีษนี้มาจาก อ.ฟารีด เฟ็นดี้
http://www.fareedfendy.com

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Sections2&op=viewarticle2&artid=15