มุสลิม/หมวดที่1/บทที่56/ฮะดีษเลขที่ 0220
عَنِ ابْنِ شَمَاسَةَ الْمَهْرِيِّ، قَالَ حَضَرْنَا عَمْرَو بْنَ الْعَاصِ وَهُوَ فِي سِيَاقَةِ الْمَوْتِ . فَبَكَى طَوِيلاً وَحَوَّلَ وَجْهَهُ إِلَى الْجِدَارِ فَجَعَلَ ابْنُهُ يَقُولُ يَا أَبَتَاهُ أَمَا بَشَّرَكَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِكَذَا أَمَا بَشَّرَكَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِكَذَا قَالَ فَأَقْبَلَ بِوَجْهِهِ . فَقَالَ إِنَّ أَفْضَلَ مَا نُعِدُّ شَهَادَةُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ إِنِّي قَدْ كُنْتُ عَلَى أَطْبَاقٍ ثَلاَثٍ لَقَدْ رَأَيْتُنِي وَمَا أَحَدٌ أَشَدَّ بُغْضًا لِرَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِنِّي وَلاَ أَحَبَّ إِلَىَّ أَنْ أَكُونَ قَدِ اسْتَمْكَنْتُ مِنْهُ فَقَتَلْتُهُ فَلَوْ مُتُّ عَلَى تِلْكَ الْحَالِ لَكُنْتُ مِنْ أَهْلِ النَّارِ فَلَمَّا جَعَلَ اللَّهُ الإِسْلاَمَ فِي قَلْبِي أَتَيْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم فَقُلْتُ ابْسُطْ يَمِينَكَ فَلأُبَايِعْكَ . فَبَسَطَ يَمِينَهُ - قَالَ - فَقَبَضْتُ يَدِي . قَالَ " مَا لَكَ يَا عَمْرُو " . قَالَ قُلْتُ أَرَدْتُ أَنْ أَشْتَرِطَ . قَالَ " تَشْتَرِطُ بِمَاذَا " . قُلْتُ أَنْ يُغْفَرَ لِي . قَالَ " أَمَا عَلِمْتَ أَنَّ الإِسْلاَمَ يَهْدِمُ مَا كَانَ قَبْلَهُ وَأَنَّ الْهِجْرَةَ تَهْدِمُ مَا كَانَ قَبْلَهَا وَأَنَّ الْحَجَّ يَهْدِمُ مَا كَانَ قَبْلَهُ " . وَمَا كَانَ أَحَدٌ أَحَبَّ إِلَىَّ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَلاَ أَجَلَّ فِي عَيْنِي مِنْهُ وَمَا كُنْتُ أُطِيقُ أَنْ أَمْلأَ عَيْنَىَّ مِنْهُ إِجْلاَلاً لَهُ وَلَوْ سُئِلْتُ أَنْ أَصِفَهُ مَا أَطَقْتُ لأَنِّي لَمْ أَكُنْ أَمْلأُ عَيْنَىَّ مِنْهُ وَلَوْ مُتُّ عَلَى تِلْكَ الْحَالِ لَرَجَوْتُ أَنْ أَكُونَ مِنْ أَهْلِ الْجَنَّةِ ثُمَّ وَلِينَا أَشْيَاءَ مَا أَدْرِي مَا حَالِي فِيهَا فَإِذَا أَنَا مُتُّ فَلاَ تَصْحَبْنِي نَائِحَةٌ وَلاَ نَارٌ فَإِذَا دَفَنْتُمُونِي فَشُنُّوا عَلَىَّ التُّرَابَ شَنًّا ثُمَّ أَقِيمُوا حَوْلَ قَبْرِي قَدْرَ مَا تُنْحَرُ جَزُورٌ وَيُقْسَمُ لَحْمُهَا حَتَّى أَسْتَأْنِسَ بِكُمْ وَأَنْظُرَ مَاذَا أُرَاجِعُ بِهِ رُسُلَ رَبِّي
อิบนุซุมาซะห์ อัลมะห์รี่ย์ รายงานว่า เราไปเยี่ยมอัมร์ อิบนุลอาศ ในช่วงที่เขาเจ็บใกล้เสียชีวิต เขาร้องไห้เป็นเวลานาน โดยหันหน้าของเขาเข้าข้างฝา แล้วลูกชายของเขาได้กล่าวกับเขาว่า โอ้พ่อครับ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้บอกข่าวดีในเรื่องนี้กับท่านหรือ ? ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้บอกข่าวดีให้ท่านทราบในเรื่องนี้เลยหรือ ? อิบนุซุมาซะห์ กล่าวว่า อัมร์ได้หันหน้ากลับมาแล้วกล่าวว่า ที่ดีที่สุดในสิ่งที่เราต้องทบทวนตัวเอง คือการปฏิญานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ และ (เรื่องราวในชีวิต) ฉันนี้ได้ผ่านพ้นมาแล้วสามช่วงคือ ฉันพบว่าตัวฉันเองนั้น เคยเป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดที่ท่านรอซูลเคยโกรธมากไปกว่าฉันอีกแล้ว และฉันก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดเสียยิ่งกว่าการที่จะเอาชนะท่านแล้วก็ฆ่าท่าน ถ้าหากฉันตายตอนนั้น ฉันต้องเป็นชาวนรกอย่างแน่นอน แต่อัลลอฮ์ได้ให้อิสลามประจักษ์ในหัวใจฉัน, ฉันจึงได้ไปหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวกับท่านว่า ยื่นมือของท่านมาเถอะ เพื่อฉันจะได้ให้สัตยาบันกับท่าน แล้วท่านก็ยื่นมือของท่านมา แต่ฉันกลับหดมือของฉันกลับ ท่านกล่าวว่า “มีอะไรหรืออัมร์เอ๋ย” ฉันกล่าวว่า ฉันต้องการตั้งเงื่อนไขสักข้อหนึ่ง ท่านถามว่า “เจ้าจะตั้งเงื่อนไขอะไรหรือ ?” ฉันกล่าวว่า ต้องให้อภัยโทษแก่ฉัน ท่านตอบว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าแท้จริงอิสลามนั้นลบล้างความผิดก่อนหน้านี้ และการอพยพก็ลบล้างความผิดก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน อีกทั้งการทำฮัจญ์ก็ลบล้างความผิดก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน” ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่ฉันจะรักไปยิ่งกว่าท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อีกแล้ว และไม่มีผู้ใดสูงส่งในสายตาของฉันมากกว่าท่านอีกแล้ว ถ้าฉันถูกถามเพื่อให้พรรณาถึงลักษณะของท่าน ฉันก็ไม่สามารถจะบอกได้ครบถ้วน เพราะฉันไม่กล้ามองหน้าท่านอย่างเต็มตา และถ้าฉันตายตอนนั้น ฉันก็หวังว่า ฉันจะเป็นหนึ่งในชาวสวรรค์ แต่หลังจากนั้นมา เราได้ปกครองดูแลสิ่งต่างๆมากมาย โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า สภาพของฉันจะเป็นเช่นไร (ว่าจะมีความบอกพร่องในหน้าที่ความรับผิดชอบนั้นหรือไม่)
ถ้าฉันตาย เจ้าก็อย่าให้มีการคร่ำครวญและอย่าให้มีคบไฟ (พิธีไว้ทุกข์ของญาฮิลียะห์) และเมื่อพวกเจ้าฝังร่างของฉัน ก็จงกลบร่างฉันเพียงให้ดินเสมอพื้น และพวกเจ้าจงยืน (ขอดุอาอ์ตัสบีต) รอบหลุมศพของฉัน ภายในเวลาเท่ากับเชือดอูฐและชำแหละเนื้อมันแจกจ่าย เพื่อฉันได้รับความมั่นใจด้วยการขอดุอาอ์ของพวกเจ้า แล้วดูซิว่าฉันจะตอบคำถามแก่ทูตแห่งองค์อภิบาลของฉันอย่างไร
|
|