|
|
|
|
วิเคราะห์ข้อขัดแย้ง |
ศอฮาบะห์กางเต้นท์อ่านอัลกุรอานบนกุโบร์หรือ |
อัลกอมะห์กับแม่ |
อิสลามเปลี่ยนวันใหม่ตอนมักริบไม่ใช่เที่ยงคืน |
เฝ้ากุโบร์ไม่ฮะราม..หรือ |
วิพากษ์หลักฐานเรื่องทำกุรบานให้คนตาย |
ถือศีลอดสิบวันแรกเดือนซุ้ลฮิจญะห์เป็นฮะดีษศอเฮียะห์หรือไม่ |
วันที่ 9 ซุ้ลฮิจญะห์ที่ไม่มีอะรอฟะห์ |
มีหลักฐานห้ามไหม |
|
|
|
|
บทความทั่วไป |
ทำบุญประเทศ |
เมื่อโลกหยุดหมุน |
ผีแม่ซื้อ |
ประเพณีการแต่งงานของมุสลิมภาคใต้ |
อาซูรอ 10 มุฮัรรอม กับตำนานกวนซุฆอ |
เมาตาคือใคร |
...ทาส... ตอนที่ 2 |
...ทาส... ตอนที่ 1 |
| มุสลิม/หมวดที่1/บทที่86/ฮะดีษเลขที่ 0377
(1161 คำในบทความ) (691 ครั้ง)
حَدَّثَنَا مَعْبَدُ بْنُ هِلاَلٍ الْعَنَزِيُّ، قَالَ انْطَلَقْنَا إِلَى أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ وَتَشَفَّعْنَا بِثَابِتٍ فَانْتَهَيْنَا إِلَيْهِ وَهُوَ يُصَلِّي الضُّحَى فَاسْتَأْذَنَ لَنَا ثَابِتٌ فَدَخَلْنَا عَلَيْهِ وَأَجْلَسَ ثَابِتًا مَعَهُ عَلَى سَرِيرِهِ فَقَالَ لَهُ يَا أَبَا حَمْزَةَ إِنَّ إِخْوَانَكَ مِنْ أَهْلِ الْبَصْرَةِ يَسْأَلُونَكَ أَنْ تُحَدِّثَهُمْ حَدِيثَ الشَّفَاعَةِ . قَالَ حَدَّثَنَا مُحَمَّدٌ صلى الله عليه وسلم قَالَ " إِذَا كَانَ يَوْمُ الْقِيَامَةِ مَاجَ النَّاسُ بَعْضُهُمْ إِلَى بَعْضٍ فَيَأْتُونَ آدَمَ فَيَقُولُونَ لَهُ اشْفَعْ لِذُرِّيَّتِكَ . فَيَقُولُ لَسْتُ لَهَا وَلَكِنْ عَلَيْكُمْ بِإِبْرَاهِيمَ - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - فَإِنَّهُ خَلِيلُ اللَّهِ . فَيَأْتُونَ إِبْرَاهِيمَ فَيَقُولُ لَسْتُ لَهَا وَلَكِنْ عَلَيْكُمْ بِمُوسَى - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - فَإِنَّهُ كَلِيمُ اللَّهِ . فَيُؤْتَى مُوسَى فَيَقُولُ لَسْتُ لَهَا وَلَكِنْ عَلَيْكُمْ بِعِيسَى - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - فَإِنَّهُ رُوحُ اللَّهِ وَكَلِمَتُهُ . فَيُؤْتَى عِيسَى فَيَقُولُ لَسْتُ لَهَا وَلَكِنْ عَلَيْكُمْ بِمُحَمَّدٍ صلى الله عليه وسلم فَأُوتَى فَأَقُولُ أَنَا لَهَا . فَأَنْطَلِقُ فَأَسْتَأْذِنُ عَلَى رَبِّي فَيُؤْذَنُ لِي فَأَقُومُ بَيْنَ يَدَيْهِ فَأَحْمَدُهُ بِمَحَامِدَ لاَ أَقْدِرُ عَلَيْهِ الآنَ يُلْهِمُنِيهِ اللَّهُ ثُمَّ أَخِرُّ لَهُ سَاجِدًا فَيُقَالُ لِي يَا مُحَمَّدُ ارْفَعْ رَأْسَكَ وَقُلْ يُسْمَعْ لَكَ وَسَلْ تُعْطَهْ وَاشْفَعْ تُشَفَّعْ فَأَقُولُ رَبِّ أُمَّتِي أُمَّتِي . فَيُقَالُ انْطَلِقْ فَمَنْ كَانَ فِي قَلْبِهِ مِثْقَالُ حَبَّةٍ مِنْ بُرَّةٍ أَوْ شَعِيرَةٍ مِنْ إِيمَانٍ فَأَخْرِجْهُ مِنْهَا . فَأَنْطَلِقُ فَأَفْعَلُ ثُمَّ أَرْجِعُ إِلَى رَبِّي فَأَحْمَدُهُ بِتِلْكَ الْمَحَامِدِ ثُمَّ أَخِرُّ لَهُ سَاجِدًا فَيُقَالُ لِي يَا مُحَمَّدُ ارْفَعْ رَأْسَكَ وَقُلْ يُسْمَعْ لَكَ وَسَلْ تُعْطَهْ وَاشْفَعْ تُشَفَّعْ . فَأَقُولُ أُمَّتِي أُمَّتِي . فَيُقَالُ لِي انْطَلِقْ فَمَنْ كَانَ فِي قَلْبِهِ مِثْقَالُ حَبَّةٍ مِنْ خَرْدَلٍ مِنْ إِيمَانٍ فَأَخْرِجْهُ مِنْهَا . فَأَنْطَلِقُ فَأَفْعَلُ ثُمَّ أَعُودُ إِلَى رَبِّي فَأَحْمَدُهُ بِتِلْكَ الْمَحَامِدِ ثُمَّ أَخِرُّ لَهُ سَاجِدًا فَيُقَالُ لِي يَا مُحَمَّدُ ارْفَعْ رَأْسَكَ وَقُلْ يُسْمَعْ لَكَ وَسَلْ تُعْطَهْ وَاشْفَعْ تُشَفَّعْ فَأَقُولُ يَا رَبِّ أُمَّتِي أُمَّتِي . فَيُقَالُ لِي انْطَلِقْ فَمَنْ كَانَ فِي قَلْبِهِ أَدْنَى أَدْنَى أَدْنَى مِنْ مِثْقَالِ حَبَّةٍ مِنْ خَرْدَلٍ مِنْ إِيمَانٍ فَأَخْرِجْهُ مِنَ النَّارِ فَأَنْطَلِقُ فَأَفْعَلُ " . هَذَا حَدِيثُ أَنَسٍ الَّذِي أَنْبَأَنَا بِهِ فَخَرَجْنَا مِنْ عِنْدِهِ فَلَمَّا كُنَّا بِظَهْرِ الْجَبَّانِ قُلْنَا لَوْ مِلْنَا إِلَى الْحَسَنِ فَسَلَّمْنَا عَلَيْهِ وَهُوَ مُسْتَخْفٍ فِي دَارِ أَبِي خَلِيفَةَ - قَالَ - فَدَخَلْنَا عَلَيْهِ فَسَلَّمْنَا عَلَيْهِ فَقُلْنَا يَا أَبَا سَعِيدٍ جِئْنَا مِنْ عِنْدِ أَخِيكَ أَبِي حَمْزَةَ فَلَمْ نَسْمَعْ مِثْلَ حَدِيثٍ حَدَّثَنَاهُ فِي الشَّفَاعَةِ قَالَ هِيهِ . فَحَدَّثْنَاهُ الْحَدِيثَ . فَقَالَ هِيهِ . قُلْنَا مَا زَادَنَا . قَالَ قَدْ حَدَّثَنَا بِهِ مُنْذُ عِشْرِينَ سَنَةً وَهُوَ يَوْمَئِذٍ جَمِيعٌ وَلَقَدْ تَرَكَ شَيْئًا مَا أَدْرِي أَنَسِيَ الشَّيْخُ أَوْ كَرِهَ أَنْ يُحَدِّثَكُمْ فَتَتَّكِلُوا . قُلْنَا لَهُ حَدِّثْنَا . فَضَحِكَ وَقَالَ خُلِقَ الإِنْسَانُ مِنْ عَجَلٍ مَا ذَكَرْتُ لَكُمْ هَذَا إِلاَّ وَأَنَا أُرِيدُ أَنْ أُحَدِّثَكُمُوهُ " ثُمَّ أَرْجِعُ إِلَى رَبِّي فِي الرَّابِعَةِ فَأَحْمَدُهُ بِتِلْكَ الْمَحَامِدِ ثُمَّ أَخِرُّ لَهُ سَاجِدًا فَيُقَالُ لِي يَا مُحَمَّدُ ارْفَعْ رَأْسَكَ وَقُلْ يُسْمَعْ لَكَ وَسَلْ تُعْطَ وَاشْفَعْ تُشَفَّعْ . فَأَقُولُ يَا رَبِّ ائْذَنْ لِي فِيمَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ . قَالَ لَيْسَ ذَاكَ لَكَ - أَوْ قَالَ لَيْسَ ذَاكَ إِلَيْكَ - وَلَكِنْ وَعِزَّتِي وَكِبْرِيَائِي وَعَظَمَتِي وَجِبْرِيَائِي لأُخْرِجَنَّ مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ " . قَالَ فَأَشْهَدُ عَلَى الْحَسَنِ أَنَّهُ حَدَّثَنَا بِهِ أَنَّهُ سَمِعَ أَنَسَ بْنَ مَالِكٍ أُرَاهُ قَالَ قَبْلَ عِشْرِينَ سَنَةً وَهُوَ يَوْمَئِذٍ جَمِيعٌ
มะอ์บัด อิบนุ ฮิลาล อัลอะนะซีย์ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า เราไปหา อนัส บินมาลิก โดยการนำพาของ ซาบิต จนเมื่อเรามาถึงขณะที่เขากำลังละหมาดฏุฮา หลังจากนั้นซาบิตได้ขออนุญาตให้เราเข้าไปพบ เราจึงเข้าไปพบเขา โดยที่ซาบิตนั่งคู่กับเขาบนแคร่ แล้วกล่าวกับเขาว่า โอ้พ่อของฮัมซะห์เอ๋ย (ฉายาของอนัส) มีพี่น้องของท่านซึ่งเป็นชาวบัศเราะห์ (เมืองบัศเราะห์ ปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิรัค) จะขอให้ท่านช่วยเล่าฮะดีษเกี่ยวกับซะฟาอะห์ (การขอความช่วยเหลือ) ให้พวกเขาฟัง เขากล่าวว่า
มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า เมื่อวันกิยามะห์มาถึง บรรดาผู้คนต่างก็โกลาหล พวกเขาได้ไปหานบีอาดัม แล้วกล่าวกับท่านว่า โปรดช่วยเหลือลูกหลานของท่านด้วยเถิด แต่ท่านจะตอบว่า ฉันไม่อยู่ในฐานะจะช่วยเหลือได้ แต่พวกเจ้าจงไปหาอิบรอฮีม อลัยฮิสสลามเถิด เพราะเขาเป็นคนสนิทของอัลลอฮ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไปหานบีอิบรอฮีม แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ แต่พวกเจ้าจงไปหามูซา อลัยฮิสสลามเถิด เพราะเขาเป็นผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์สนทนาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไปหานบีมูซา แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือได้ แต่พวกเจ้าจงไปหาอีซา อลัยฮิสสลามเถิด เพราะเขาดวงวิญญาณจากอัลลอฮ์และเป็นประกาศิตของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไปหานบีอีซา แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ แต่พวกเจ้าจงไปหามูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาฉัน และฉันก็กล่าวว่า ฉันจะขอความช่วยเหลือให้พวกท่าน ฉันจะไปหาองค์อภิบาลของฉันและขออนุมัติต่อพระองค์ และมันก็ถูกอนุมัติแก่ฉัน, ฉันจึงได้ยืนต่อหน้าพระพักต์ของพระองค์ โดยกล่าวสรรญเสริญด้วยถ้อยความที่ฉันไม่อาจกล่าวได้ในขณะนี้ ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ทรงดลใจฉัน จากนั้นฉันจึงทรุดตัวลงในสภาพของผู้สุญูด แล้วก็มีเสียงกล่าวกับฉันว่า โอ้มูฮัมหมัด เงยศีรษะของเจ้าขึ้นเถิด และก็พูดมา คำพูดของเจ้าจะถูกรับฟัง, จงขอเถิด มันจะถูกตอบสนอง, จงขอความช่วยเหลือ และก็จะได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของฉันพวกเขาคือประชาชาติของฉัน,พวกเขาคือประชาชาติของฉัน พระองค์กล่าวว่า จงไปเถิด แล้วนำคนที่ในหัวใจของเขามีส่วนหนึ่งของการศรัทธา แม้น้ำหนักเท่าเมล็ดข้าวสาลีหรือข่าวฟ่าง ก็จงนำเขาออกจากนรก, ฉันจึงไปทำตามที่พระองค์สั่ง
จากนั้นฉันก็กลับมาที่องค์อภิบาลของฉัน พร้อมกล่าวสรรเสริญพระองค์ด้วยถ้อยความเดิม แล้วทรุดตัวลงในสภาพของผู้ที่สุญูดต่อพระองค์ และก็มีเสียงกล่าวแก่ฉันว่า โอ้มูฮัมหมัด เงยศีรษะของเจ้าขึ้นเถิด แล้วพูดมา คำพูดของเจ้าจะถูกรับฟัง จงขอมา มันจะถูกตอบสนอง, จงขอความช่วยเหลือ และจะได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของข้า พวกเขาคือประชาชาติของฉัน พวกเขาคือประชาชาติของฉัน, แล้วพระองค์ก็กล่าวกับฉันว่า ไปเถิด นำคนที่ในหัวใจของเขามีการศรัทธาแม้เพียงเท่าเมล็ดผักกาด จงนำเขาออกจากนรก ดังนั้นฉันจึงไปทำตามที่พระองค์สั่ง
แล้วฉันก็กลับมาที่องค์อภิบาลของฉัน พลางกล่าวสรรเสริญพระองค์ด้วยถ้อยความเดิม และทรุดตัวลงในสภาพเป็นผู้สุญูด พระองค์ได้กล่าวว่า โอ้มูฮัมหมัด เงยศีรษะของเจ้าขึ้น แล้วพูดมา คำพูดของเจ้าจะถูกรับฟัง จงขอ มันถูกตอบรับ จงขอความช่วยเหลือ และจะได้รับความช่วยเหลือ, ดังนั้นฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของข้า พวกเขาคือประชาชาติของฉัน,พวกเขาคือประชาชาติของฉัน พระองค์กล่าวว่า จงไป แล้วนำคนที่ในหัวใจของเขามีการศรัทธาแม้เพียงเศษเสี้ยวของเมล็ดผักกาด จงนำเขาออกจากนรก ฉะนั้นฉันจึงไปทำตามที่พระองค์สั่ง
นี่คือฮะดีษที่อนัส บินมาลิก บอกกับเรา หลังจากนั้นเราก็ลากลับ ขณะที่เราเดินทางมาถึง ระหว่างเนินเขากลางทะเลทราย (ซึ่งถูกเรียกว่าสุสาน) พวกเรากล่าวกันว่า ถ้าเราแวะไปเยี่ยมเยียนทักทาย ฮะซัน (อัลบัศรีย์) สักหน่อยก็จะเป็นการดี และเขาหลบอยู่ในบ้านของอบีค่อลีฟะห์ และเราได้เข้าไปหาและให้สลามกับเขา โดยกล่าวว่า โอ้พ่อของสะอี๊ดเอ๋ย (ฉายาของฮะซัน อัลบัศรีย์) พวกเราเดินทางมาจากพี่น้องร่วมศาสนากับท่านคือ พ่อของฮัมซะห์ (อนัส บินมาลิก) ซึ่งเขาได้เล่าฮะดีษเกี่ยวกับ ซะฟาอะห์ ให้พวกเราฟังซึ่งพวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้เลย, ฮะซันกล่าวว่า ฮ้า! ลองเล่าให้ฟังซิ ดังนั้นพวกเราจึงเล่าฮะดีษที่รับทราบมาให้เขาฟัง แต่เขาก็กล่าวว่า ฮ้า! มีแค่นี้หรือ พวกเราจึงถามว่า ยังมีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือ ฮะซันกล่าวว่า เขา (อนัส) เล่าฮะดีษบทนี้ให้ฉันฟังเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเขายังแข็งแรงและความจำยังดีอยู่ แต่วันนี้เขาเล่าตกหล่นไปบางส่วน ซึ่งฉันไม่รู้ว่าท่านอวุโส (อนัส) จะลืมหรือว่าเจตนาที่จะไม่เล่าให้พวกท่านฟัง เพราะเกรงว่าพวกเจ้าจะไม่หมั่นเพียรทำอิบาดะห์ ดังนั้นพวกเราจึงกล่าวกับเขาว่า โปรดเล่า (สิ่งที่ท่านอนัสไม่ได้บอก) ให้พวกเราฟังหน่อย แต่เขากลับหัวเราะ แล้วกล่าวว่า มนุษย์นั้นถูกสร้างมาจากความรีบเร่ง (หมายถึงมนุษย์มีนิสัยใจร้อน) ฉันตั้งใจที่จะเล่าส่วนที่เหลือของฮะดีษบทนี้ให้พวกท่านฟังนี้แหละคือ
ท่านนบีกล่าวว่า หลังจากนั้นฉันก็กลับไปหาองค์อภิบาลของฉันเป็นครั้งที่สี่ โดยกล่าวสรรเสริญต่อพระองค์ด้วยกับถ้อยคำสรรเสริญเช่นเดิม แล้วก็ทรุดตัวลงสุญูดต่อพระองค์, ดังนั้นจึงมีเสียงกล่าวกับฉันว่า โอ้มูฮัมหมัด จงเงยศีรษะของเจ้าขึ้น แล้วพูดมา คำพูดของเจ้าจะถูกรับฟัง, จงขอเถิด คำขอของเจ้าจะถูกตอบรับ, จงขอความช่วยเหลือ และก็ได้รับการช่วยเหลือ ฉะนั้นฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของฉัน โปรดอนุมัติแก่ฉันให้เอาผู้ที่กล่าวแต่เพียงว่า “ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์” (ออกจากนรกได้ไหม) พระองค์กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า หรือไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า แต่ด้วยเกียรติของข้า,ความเกรียงไกรของข้า,ด้วยอำนาจของข้า, และเดชานุภาพของข้า, ข้าจะเอาผู้ที่กล่าวว่า “ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์” ออกจากนรกแน่นอน
มะอ์บัด อิบนุ ฮิลาล อัลอะนะซีย์ กล่าวว่า ฉันขอยืนยันว่าท่านฮะซัน เล่าฮะดีษบทนี้ให้พวกเราฟังมาก่อนหน้านี้มากกว่ายี่สิบปี โดยได้ยินมาจากท่านอนัส บินมาลิก ซึ่งขณะนั้นเขายังมีสุขภาพดีและมีความจำดีเยี่ยม
|
[ กลับไป ซอเฮี๊ยะห์มุสลิม | สารบัญฮะดีษ ] |
|
| |
| |
| | |
|