คำตอบ |
· คำถามที่ 1 การศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับคืออะไร ทำไมจึงต้องศรัทธาด้วย ?
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
เรื่องเร้นลับ หรือที่เรียกว่า ฆอยบ์ นั้นหมายถึง เรื่องที่สติปัญญาของมนุษย์ไปไม่ถึง, ไม่สามารถที่จะรู้ได้จากประสบการณ์ หรือจากการวิเคราะห์,พิสูจน์ใดๆ อีกทั้งตาก็ไม่เคยเห็น,หูก็ไม่เคยได้ยิน และร่างกายไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง เช่นเรื่องนรก- สวรรค์,ชีวิตหลังจากความตาย การลงโทษ,การตอบแทนในหลุมศพ อย่างนี้เป็นต้น
เหตุที่มุอ์มินต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในเรื่องเหล่านี้ เพราะผู้ที่นำมาบอกกล่าวให้เราได้รับทราบคืออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
قل لا يعلم من فى السماوات والأرض الغيب الا الله
ประกาศเถิด (มูฮัมหมัด) ว่า ผู้ที่อยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดินไม่สามารถที่จะรู้เรื่องฆอยบ์ได้นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ซูเราะห์อัลนัมล์ อายะห์ที่ 65
ท่านนบีมูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น แม้ว่าท่านจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรอซูล แต่ท่านเองก็มิได้เป็นบุคคลที่มีหูทิพย์,ตาทิพย์ หรือมีญาณทิพย์ใดๆที่จะหยั่งรู้ฟ้าดิน แต่เรื่องที่ท่านได้นำมาประกาศนั้น เป็นวะฮีย์จากพระองค์อัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกล่าวว่า
قل لا أقول لكم عندى خزائن الله ولا أعلم الغيب
ولا أقول لكم انى ملك ان أتبع الا ما يوحى الى
ประกาศเถิด (มูฮัมหมัด) ว่า ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันมีคลังสมบัติของอัลลอฮ์ และฉันก็มิได้รู้ในสิ่งเร้นลับ อีกทั้งฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันเป็นมะลัก ฉันไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งอื่นใด นอกจากที่มีวะฮีย์มายังฉันเท่านั้น ซูเราะห์อัลอันอาม อายะห์ที่ 50
สิ่งที่ท่านรอซูลได้นำมาบอกให้พวกเราได้รับทราบเกี่ยวกับเรื่อง ฆอยบ์ นั้น มิใช่มาจากสมอง,ปัญญา การวิเคราะห์หรือวินิจฉัยของท่านเอง หากแต่ท่านได้ประกาศไปตามคำบัญชา
พระองค์อัลลอฮได้ทรงกล่าวว่า
عالم الغيب فلا يظهر على غيبه أحدا الا من ارتضى من رسول
พระองค์อัลลอฮ์ผู้ทรงรู้สิ่งเร้นลับ ฉะนั้นพระองค์จะไม่ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับให้กับผู้ใดนอกจากรอซูลบางคนที่พระองค์ทรงพอพระทัย ซูเราะห์อัลญิน อายะห์ที่ 26
ฉะนั้นเรื่องใดก็ตามที่เป็นเรื่อง ฆอยบ์ และไม่ได้มีที่มาจากคำสอนของอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์แล้ว บรรดาผู้ศรัทธาต้องออกห่าง เพราะนั่นคือนิยายไม่ใช่คำสอนของศาสนา
......................................................................................................................
|
[ กลับไปข้างบน ]
· คำถามที่ 2 สิทธถะเป็นนบีหรือเปล่า ? คำถาม
อยากถามอาจารย์ว่า สิทธถะ เป็นนบีหรือปล่าว เพราะดิฉันเคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่า เป็นนบี เพราะสอนให้คนทำความดีด้วย จากคุณรอยยา สมาชิก moradokislam.net
คำตอบ โดยอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
ผมไม่เคยได้ยินคนพุทธหรือคนศาสนาอื่นเขาอ้างเช่นนี้ แต่เคยได้อ่านข้อความของผู้รู้บ้านเราบางคนที่อ้างว่า ท่านสิทธถะเป็นนบีคนหนึ่งด้วย
การที่จะกล่าวว่าเป็นหรือไม่ ใช่หรือไม่ใช่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของเราเอง เพราะความคิดของคนเราอาจจะต่างกันได้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นการจะพูดเรื่องนี้ขอให้อยู่ในกรอบของศาสนา ไปดูที่คำสอนซิครับว่า อิสลามสอนไว้อย่างไร
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
ولقد بعثنا فى كل أمة رسولا أن اعبدوا الله واجتنبوا الطاغوت
และเราได้ส่งรอซูลมาในทุกๆประชาชาติ โดยกำชับว่าพวกเจ้าจงภักดีต่ออัลลอฮ์ และออกห่างจากเจว็ดทั้งหมด ซูเราะห์อัลนะฮ์ อายะห์ที่ 36
لكل جعلنا منكم شرعة ومنهاجا
สำหรับทุกๆประชาชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้กำหนดข้อบัญญัติและแนวทางไว้แล้ว ซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 48
จากอัลกุรอานทั้งสองอายะห์ข้างต้นทำให้เราได้รับทราบถึงแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละประชาชาติตามที่รอซูลในยุคนั้นๆได้มาเรียกร้อง แต่สิ่งหนึ่งที่บรรดารอซูลของอัลลอฮ์ทุกท่านเรียกร้องเหมือนกันก็คือ
1 สอนให้สักการะต่ออัลลอฮ์
2 สอนให้ออกห่างจากการบูชาเจว็ด
ศาสนาพุทธที่มี สิทธถะ องค์พระพุทธเจ้าเป็นศาสดานั้น แม้จะไม่ได้สอนให้ผู้คนเคารพรูปสักการะใดๆ ก็ตาม แต่ก็มิได้มีคำสอนให้ผู้คนศรัทธาในพระเจ้า เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงถูกจัดให้เป็นศาสนาอเทวนิยม คือศาสนาที่ไม่ได้สอน,เรียกร้อง,เชิญชวนให้ผู้คนเชื่อและศรัทธาในพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ได้ว่า สิทธถะเป็นนบี หรือเป็นรอซูลในอิสลาม
การไม่เชื่อในเรื่องนี้ไม่ผิดหรอกครับ เพราะอิสลามไม่ได้สอน แต่การเชื่อว่าสิทธถะเป็นนบี นี่ซิ....อันตราย เพราะกำลังนำเอาความเชื่อแปลกปลอมมาเป็นอะกีดะห์ของมุสลิม
........................................................................................................................
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 3 อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายต่อเรื่องสิทธถะเป็นนบีหรือไม่ ขอบคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถาม แต่อยากให้อาจารย์ขยายความต่อเกี่ยวกับความเชื่อของผู้ที่อ้างว่า สิทธถะ เป็นนบีในอิสลาม เพราะมีการเผยแพร่เรื่องนี้ในเวบอื่นๆของมุสลิม จากคุณรอยยา สมาชิก www.moradokislam.net
คำตอบโดย....อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
เรื่อง อะกีดะห์ (หลักความเชื่อ) ของมุสลิมต้องมีตัวบทหลักฐาน มิใช่ได้มาจากการตีความ การสันนิฐาน หรือการคาดเดา จากความรู้สึกนึกคิดของผู้ใด เพียงพอแล้วสำหรับมุสลิมที่จะเชื่อตามที่อัลลอฮ์ และรอซูลได้บอกไว้
ท่านรอซูล ได้กล่าวว่า
ฉันได้ทิ้งไว้ในหมู่พวกเจ้าสองสิ่งด้วยกัน หากพวกเจ้ายึดในสองสิ่งนี้ไว้ จะไม่หลงทางหลังจากที่ฉันได้จากไปอย่างเด็ด สองสิ่งนั้นคือ กิตาบัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) และซุนนะห์ของฉัน (อัลฮะดีษ) มุวัฏเฏาะอ์ ของอิหม่ามมาลิก ฮะดีษที่ 1395
หากมีตัวบทจากอัลกุรอานสักอายะห์ หรือฮะดีษเพียงสักบทหนึ่งหรือท่อนหนึ่งที่มายืนยันในเรื่องนี้ (สิทธถะเป็นนบี) ผมจะน้อมรับโดยทันที
แต่เรื่องนี้เป็นเพียงการสันนิฐาน,คาดเดา,หรือการตีความของบางคนเท่านั้นเอง แล้วจะให้เราเอาการคาดเดามาเป็น อะกีดะห์ อย่างนั้นหรือ
เรื่องวุ่นวายในสังคมของเรามิได้เกิดจากเรื่องในอิสลาม แต่เกิดจากเรื่องนอกอิสลามที่จะเอามาเป็นอิสลามด้วย ผมมักจะพูดอย่างนี้เสมอว่า ปัญหาเกิดจากเราจะเอาของเถื่อนมาเป็นของถูก
นบีและรอซูลของอัลลอฮ์นั้นแม้ว่าจะมีคำสอนเรื่องปฏิบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่เรื่องของอะกีดะห์ตรงกันตั้งแต่นบีท่านแรกจนท่านสุดท้าย (ดูคำตอบที่ 2 ในหมวดนี้)
ไม่มีนบีและรอซูลของอัลลอฮ์ท่านใดที่สอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด
ไม่มีนบีและรอซูลของอัลลอฮ์ท่านใดที่ระลึกชาติได้
ไม่มีนบีและรอซูลของอัลลอฮ์ท่านใดที่สอนว่า เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมแต่ชาติปางก่อน
ข้างต้นนี้ไม่ใช่หลักปฏิบัติครับ แต่เป็นเรื่องอะกีดะห์ ที่ห่างไกลจากคำสอนของอิสลามเหลือเกิน
........................................................................................................................
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 4 อีซากับเยซู คำถาม รบกวนถามอาจารย์ดังนี้ครับ อิสลามกับคริสต์เป็นศาสนาพี่น้องกัน พระเยซูก็เป็นศาสดาที่คนอิสลามเชื่อถือ แต่ทำไมต้องรบฆ่ากันนองเลือดทั้งโลก
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
เป็นความเข้าใจผิดครับ ศาสนาอิสลามกับศาสนาคริสต์ไม่ได้มาทางเดียวกัน และไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด พระองค์อัลลอฮ์ไม่ได้ส่งศาสนทูตท่านใดมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ศาสนาของอัลลอฮ์คือ อัลอิสลาม ดังที่พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า
ان الدين عند الله الأسلام
แท้จริงศาสนา ณ.พระองค์อัลลอฮ์คือ อัลอิสลาม ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 19
ฉะนั้นศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮ์ทุกท่านจึงเรียกร้องไปสู่หลักเดียวกัน คือการสักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์ ดังที่พระองค์ได้ทงกล่าวว่า
ولقد بعثنا فى كل أمة رسولا أن اعبدواالله واجتنبوا الطاغوت
และแน่นอน เราได้ส่งศาสนทูตมาในแต่ละประชาชาติ โดยกำชับให้พวกเขาประกาศว่า จงสักการะต่ออัลลอฮ์ และออกห่างจากสิ่งสักการะอื่นๆ ซูเราะห์อัลนะฮล์ อายะห์ที่ 36
ท่านนบีอีซาก็เป็นหนึ่งในศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮ์ที่มาประกาศอัลอิสลามเช่นเดียวกัน และท่านก็มิได้เป็นศาสนทูตของศาสนาคริสต์ตามที่มีการกล่าวอ้าง ด้วยเหตุนี้ท่านนบีอีซากับเยซูคริสต์ จึงเป็นคนละคนกัน และบุคคลทั้งสองก็มีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัด เช่น
- มุสลิมเชื่อว่า นบีอีซาคือบ่าวและศาสนทูตของอัลลอฮ์ ในขณะที่ชาวคริสต์เชื่อว่าเยซูคือพระบุตร
- มุสลิมเชื่อว่านบีอีซาไม่ได้ถูกฆ่าตาย และไม่ถูกตึงบนไม้กางเขน แต่ชาวคริสต์เชื่อว่าเยซูตายโดยถูกตึงบนไม้กางเขน และฯลฯ
เพียงแค่บางประการที่นำมาให้เห็นนี้ เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า เยซู คือบุคคลที่ชาวคริสต์อุปโลกน์ขึ้นโดยเชื่อ
ว่า ท่านตายเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ จึงเป็นคนละคนกับนบีอีซาของอิสลาม และไม่มีความเกี่ยวพันกันแต่อย่างใด
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมต้องรบราฆ่าฟันกันนั้น ขอให้คุณอ่านในสกู๊ปข่าวหน้าแรก แล้วจะทราบข้อเท็จจริงว่า ใครคือผู้รุกรานใคร
ถึงขนาดขนอาวุธยุทโธปกรณ์บุกเข้าไปในบ้านเขา แล้วฆ่าเจ้าของบ้านตายเป็นเบือ อีกทั้งปล้นทรัพยากรน้ำมันของเขา แล้วถูกเรียกว่า ผู้พิทักษ์สันติภาพของโลก แต่เมื่อเจ้าของบ้านออกมาต่อสู้ด้วยอาวุธเท่าที่จะหาได้ กลับถูกประณามว่าเป็นโจร หรือผู้ก่อการร้าย ไม่รู้ว่าเขาพูด เขาคิดกันได้อย่างไร แค่เอยมาก็เป็นเสนียดปากแล้ว
........................................................................................................................
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 5 อัลกุรอานครบทำไมต้องใช้ฮะดีษ
คำถาม
ผมอ่านในกระทู้สนทนา เรื่องผู้ปฏิเสธฮะดีษไม่ใช่มุสลิม มีข้อความชวนให้สงสัย อยากให้อาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ
อัลกุรอานครบสมบูรณ์แล้วทำไมต้องใช้ฮาดีสด้วย ถ้าใช้อัลกุรอานอย่างเดียวผิดไหม หวังว่าคงไม่รบกวนอาจารย์เกินไป ขออัลลอฮฺตอบแทนครับ
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
อัลกุรอานคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ถูกประทานให้แก่มนุษยชาติโดยผ่านท่านนบีมูฮัมหมัด แต่เพียงผู้เดียว พระองค์อัลลอฮ์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดรับวะฮีย์ หรือประทานอัลกุรอานผ่านผู้ใดอีก
ตลอดระยะเวลา 23 ปี ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ให้ญิบรีล ทยอยนำเอาคำของอัลลอฮ์มามอบให้ จนกระทั่ง วันศุกร์ที่ 9 ปีที่ 10 ฮิจเราะห์ศักราช ณ.ทุ่งอะรอฟะห์ เวลาอัศริ พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงประทานอายะห์ต่อไปนี้มาเพื่อยืนยันความครบถ้วนสมบูรณ์ของศาสนาดังนี้
اليوم أكملت لكم دينكم وأتممت عليكم نعمتى ورضيت لكم الاسلام دينا
วันนี้ ข้าได้ให้ศาสนาครบถ้วนสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว และข้าได้ให้ความเมตตาต่อพวกเจ้าเต็มเปี่ยม และข้าพอใจที่จะให้อิสลามเป็นศาสนาแก่พวกเจ้า ซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 3
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงยืนยันว่าศาสนาครบสมบูรณ์ แต่มิได้ยืนยันว่าครบสมบูรณ์ด้วยอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว หากแต่สมบูรณ์ด้วยอัลกุรอานและซุนนะห์ของท่านนบี
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
وأنزلنا اليك الدكر لتبين للناس
และเราได้ประทานข้อเตือน (อัลกุรอาน) แก่เจ้าเพื่อให้เจ้าได้เอาไปสาธยายต่อมวลมนุษย์ ซูเราะห์อัลนะฮล์ อายะห์ที่ 44
ฉะนั้นความครบถ้วนของศาสนานอกจากอัลกุรอานแล้ว ยังต้องยึดซุนนะห์ของท่านนบีด้วย เพราะศาสนาครบสมบูรณ์ด้วย 2 ประการนี้
หากจะถามว่า อัลกุรอานครบไหม ? ขอตอบว่าครบ และครบสมบูรณ์ที่ 6,666 อายะห์ ไม่ใช่ครบสมบูรณ์ที่ 17,000 อายะห์ ตามชีอะห์กล่าวอ้าง ถ้ามากกว่าหกพันกว่าอายะห์นี้ คือส่วนเกิน
แต่ความครบสมบูรณ์ของอัลกุรอานนี้ หมายถึงครบด้วยหลักการ แต่รายละเอียดและวิธีการต้องอาศัยการอธิบายจากซุนนะห์ของท่านนบี เช่นเรื่องละหมาด บวช ซะกาต ฮัจญ์ และอื่นๆ มีหลักการระบุในอัลกุรอานครบถ้วน แต่วิธีการไปต้องไปเอาจากซุนนะห์ของท่านนบี
ถ้าจะถามต่อไปว่า ฮะดีษหรือซุนนะห์ของท่านนบีครบไหม ขอตอบว่า ครบที่ฮะดีษศอเฮียะห์ หรือฮะดีษฮะซัน ส่วนฮะดีษฏออีฟ หรือฮะดีษเมาดั๊วอ์ คือส่วนเกิน
สำหรับผู้ที่อ้างว่ายึดอัลกุรอาน แล้วปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์นั้น ศาสนาของเขาแห่วง และเขาไม่ได้อยู่ในฐานะของมุสลิม ถ้าเขาตายก็เอาไปวัด หรือไม่ก็จับโยนทะเล ไม่ต้องเอาศพเขามาอาบน้ำ ห่อ ละหมาด แล้วฝังอย่างที่นบีสอน แต่อย่าทำอย่างนี้กับพี่น้องมุสลิม
........................................................................................................................
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 6 เห็นอัลลออฮ์ คำถามโดย กลุ่มนิรนาม
เรียนถามอาจารย์ฟารีดครับ มุสลิมได้เห็นอัลลอฮ์หรือไม่ ขอให้อาจารย์ชี้แจงด้วยหลักฐานด้วยครับ เพราะตอนนี้มีการเถียงกันว่าเห็นหรือไม่เห็น ผมเคยถามอาจารย์หลายท่านก็ยังไม่ได้รับคำตอบ หวังว่าอาจารย์จะให้ความกระจ่างแก่พวกเราได้ ขอบคุณอาจารย์มากครับ ญะซากัลลอฮ์
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
เรื่องการได้เห็นอัลลอฮ์หรือไม่นี้ เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาช้านาน ระหว่างกลุ่มมัวอ์ตะซีละห์ กับกลุ่มอะห์ลิสซุนะห์
โดยกลุ่มมัวอ์ตะซีละห์อ้างว่ามนุษย์ไม่มีโอกาสได้เห็นอัลลอฮ์ทั้งในดุนยาและอาคิเราะห์ ด้วยตัวบทหลักฐานจากอัลกุรอาน ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้เล่าให้ฟังจากเหตุการณ์ที่นบีมูซาขอเห็นอัลลอฮ์ว่า
قَالَ رَبِّ أَرِنِي أَنْظُرْ اِلَيْكَ قَالَ لَنْ تَرَانِي
เขา (มูซา) กล่าวว่า องค์อภิบาลของข้า ได้โปรดให้ข้าเห็นพระองค์ด้วยเถิด ข้าพรองค์จะได้มองดูพระองค์ อัลลอฮ์กล่าวว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นข้า ซูเราะห์อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่ 143
กลุ่มมัวอ์ตะซีละห์ได้ตีความทางภาษาโดยนำเอาคำว่า لَن ในอายะห์ข้างต้นนี้มาอธิบายว่า เป็นคำปฏิเสธทั้งปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้น ทั้งดุนยาและอาคิเราะห์ มนุษย์จึงไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์อัลลอฮ์อย่างเด็ดขาด
ในขณะที่ชาวอะห์ลิสซุนนะห์มีความเชื่อว่า ในดุนยานี้มนุษย์ทุกคนไม่มีโอกาสได้เห็นอัลลอฮ์ตามหลักฐานที่ปรากฏข้างต้น แต่ในอาคิเราะห์ผู้ศรัทธาได้เห็นพระองค์อัลลอฮ์อย่างแน่นอนด้วยหลักฐานดังต่อไปนี้
พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า
وُجُوْهٌ يَوْمَئِذٍ نَاضِرَةٌ اِلَى رَبِّهَا نَاظِرَةٌ
ใบหน้า (ของผู้ศรัทธา) ทั้งหลายในวันนั้น ต่างเบิกบานโดยจะมองไปองค์อภิบาลแห่งใบหน้านั้น ซูเราะห์อัลกิยามะห์ อายะห์ที่ 22 - 23
لِلَّذِيْنَ أَحْسَنُوا الْحُسْنَى وَزِيَادَةٌ
สำหรับผู้ประพฤติดี เขาจะได้รับสิ่งดี (สวรรค์) เป็นสิ่งตอบแทน และได้มากนั้นอีก ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 26
บรรดานักอธิบายอัลกุรอาน (มุฟัสซีรีน) ต่างอธิบายว่า สิ่งที่ได้รับมากกว่าสวรรค์นั้นก็คือการได้เห็นพระองค์อัลลอฮ์ ตามที่มีฮะดีษศอเฮียะห์อธิบายไว้ดังนี้
عَنْ جَرِيْرِ بْنِ عَبْدِ اللهِ قَالَ كُنَّا عِنْدَ النَبِى صَلىَ اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ فَنَظَرَ الِىَ القَمَرِ لَيْلَةً يَعْنِى البَدْر
فَقَالَ اِنَّكُمْ سَتَرَوْنَ رَبَّكُمْ كَمَا تَرَوْنَ هَذاَ القَمَرَ لاَ تُضَامُّوْنَ فِى رُؤْيَتِهِ
ท่านญะรีร อิบนิ อับดิลลาห์ รายงานว่า ขณะที่พวกเราได้อยู่กับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้มองไปยังดวงจันทร์ในคืนจันเต็มดวง แล้วกล่าวว่า พวกเจ้าจะได้เห็นองค์อภิบาลของพวกเจ้าดังได้เห็นจันทร์เต็มดวงนี้ โดยไม่มีอะไรมาบดบังการเห็นพระองค์เลย บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 521
จากที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า ความเชื่อของชาวซุนนะห์แยกเป็นสองกรณีด้วยกันคือ ในดุนยาไม่มีผู้ใดได้เห็นอัลลออ์ ส่วนในอาคิเราะห์นั้นเมื่อผู้ศรัทธาได้เข้าสวรรค์ก็จะได้เห็นพระองค์อัลลอฮ์อย่างแน่นอน ซึ่งการอธิบายเช่นนี้ ไม่ทำให้อัลกุรอานและฮะดีษของท่านรอซูลต้องค้านกัน
........................................................................................................................
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 7 ข้างขึ้น-ข้างแรม คำถามโดย คุณยามารุดดีน
ควรมีการดูฤกษ์ของการแต่งงานหรือไม่
ทำไมบางคนบอกว่าการนิกะห์ไม่ควรทำในข้างแรมต้องทำในช่วงเวลาข้างขึ้น
คำตอบโดย อาจรย์ฟารีด เฟ็นดี้
ผมเคยตอบคำถามนี้เวลาไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ว่า การถือฤกษ์ยามข้างขึ้นข้างแรมนี้ไม่ใช่อะกีดะห์ของมุสลิม แต่เป็นอะกีดะห์ของเจ๊ก ซึ่งหลังจากที่พูดไปแล้วก็สร้างความไม่พอใจให้บางคนที่ยังคงถือฤกษ์ยามข้างขึ้นข้างแรมนี้อยู่ แต่เรื่องนี้เป็นอันตรายร้ายแรงขนาดว่าทำให้หลุดออกจากศาสนาเอาง่ายๆ ฉะนั้นจึงต้องพูดให้ชัดเจน ส่วนใครจะพอใจหรือไม่นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของผม, ผมยังยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นอะกีดะห์ของเจ๊ก ไม่เกี่ยวกับมุสลิมจริงๆ
คำว่า ข้างขึ้นข้างแรมนี้ มีเหตุมาจากการโคจรของดวงจันทร์ที่เป็นหนึ่งในบริวาลของดวงอาทิตย์ ซึ่งรอบการโคจรของดวงจันทร์จะกินระยะเวลาประมาณ 29 30 วัน โดยช่วงขาขึ้นเริ่มจากขอบฟ้าด้านตะวันตกที่เราแลเห็น จากเสี้ยวเล็กๆ ก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน ซึ่งจะถูกนับเป็นข้างขึ้น เช่น ขึ้น 2 ค่ำ 3 ค่ำ 4 ค่ำ และ ฯลฯ
บรรดาผู้คนก็จะเอาชะตาชีวิตไปฝากไว้กับข้างขึ้น โดยเชื่อว่าแต่งงานหรือทำกิจการใดๆ จะได้ขึ้น หรือเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไปทำในข้างแรมจะทำให้ชีวิตคู่อับเฉา หรือกิจการล่มสลาย แต่ที่จริงแล้วดวงจันทร์ไม่มีอำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์เลย โดยเฉพาะมุสลิมนั้น เขาจะมอบหมายชีวิตของเขา หรือกิจการของเขาต่อพระองค์อัลลอฮ์
ท่านเซด บินคอลิด อัลญุฮันนีย์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำพวกเราละหมาดซุบฮิที่ฮุดัยบียะห์ ในสภาพที่มีรอยฝนตกเมื่อคืนที่ผ่านมา เมื่อละหมาดเสร็จ ท่านได้หันหน้ามาหาประชาชนแล้วกล่าวว่า พวกเจ้ารู้ไหมว่า องค์อภิบาลของพวกเจ้ากล่าวเช่นไร พวกเขาตอบว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ที่รู้ดียิ่ง ท่านนบีกล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า บ่าวของข้าตื่นขึ้นมาในสภาพเป็นผู้ศรัทธาต่อข้าและปฏิเสธข้า ผู้ใดที่เชื่อว่าฝนที่ตกลงมาด้วยความโปรดปราณและความเมตตาของอัลลอฮ์ เขาคือผู้ศรัทธาต่อข้าและเป็นผู้ปฏิเสธอิทธิพลของดวงดาว ส่วนผู้ใดที่เชื่อว่าฝนตกลงมาด้วยอิทธิพลของดาวดวงนั้นดวงนี้ เท่ากับเขาได้ปฏิเสธต่อข้าและศรัทธาต่อดวงดาว มุตตะฟะกุนอะลัยฮิ
ด้วยเหตุนี้การถือฤกษ์ข้างขึ้นข้างแรมคือการกระทำที่เป็นชิริก หรือการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ด้วยความเชื่อว่าการโคจรของดวงจันทร์ข้างขึ้นสามารถกำหนดชะตาชีวิตเขาได้ จึงถือเป็นบาปใหญ่ ต้องเลิกโดยทันที แต่หากใครยังเชื่อเช่นนี้อยู่ก็น่าจะทำขนมไหว้พระจันทร์ แล้วไปไหว้กับเขาด้วยเลย ให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ถ้าท่านทำไปโดยไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็อย่าไปกังวลเลยครับ เพราะอัลลอฮ์ไม่เอาโทษ แต่วันนี้ท่านรู้แล้ว และจะทำอย่างไรต่อไปก็ใคร่ครวญดูเถอะครับ
........................................................................................................................
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 8 นบีอีซามีครอบครัวหรือไม่ คำถามโดย คุณอับดุลลา
ผมมีคำถามด่วนครับ อยากให้อาจารย์ตอบด่วนด้วย
นบีอีซามีครอบครัวหรือเปล่า พวกคริสต์เขาประท้วง มุสลิมจะร่วมประท้วงกับเขาได้ไหม เพราะนบีอีซาก็เป็นร่อซูลของอัลลอฮ์เหมือนกัน ขอให้อาจารย์ช่วยตอบด่วนด้วย ยะซากัลลอฮุคอยรอน
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
กว่าที่ผมจะเข้ามาเจอคำถามนี้ก็นานหลายวัน อาจจะตอบได้ไม่ด่วนอย่างที่ผู้ถามต้องการ และเหตุการณ์ประท้วงภาพยนตร์เรื่อง ดาวินซี่โค๊ต ของชาวคริสเตียน คาร์ทอลิก คงจะสงบลงไปบ้างแล้ว
เรื่องราวของนบีอีซา อลัยฮิสสลาม ซึ่งเป็นร่อซูลที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งมาในกลุ่มชนชาวนะศอรอ โดยพระองค์ได้มอบมัวอ์ญีซาต (ปาฏิหาร) ให้แก่ท่านเพื่อยืนยันในการเป็นศาสนทูตจากพระเจ้า เช่น ท่านเกิดมาโดยไม่มีพ่อ หมายถึงมิได้มีการปฏิสนธิจากเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย และไข่สุขของเพศหญิง, ท่านพูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะ, และฯลฯ
จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านที่ผิดจากคนธรรมดาทั่วไป ทำให้ชาวนะศอรอโดยบางกลุ่มเชื่อว่า ท่านเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์ และบางกลุ่มก็เชื่อว่า ท่านเป็นพระบุตร ท่านถูกตรึงไม้กางเขน ท่านถูกฆ่าตาย และการตายของท่านเป็นการถ่ายบาปของมนุษย์ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ค้านกับความเชื่อของมุสลิมทั้งสิ้น เพราะในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมหมัดปฏิเสธ เรื่องการเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์ ปฏิเสธเรื่องการเป็นพระบิดาและพระบุตร ปฏิเสธเรื่องการถูกตรึงและถูกฆ่าตายบนกางเขน ด้วยเหตุนี้ ผมจึงพยายามชี้ให้พี่น้องได้เห็นว่า นบีอีซาของอัลลอฮ์ กับเยซูตามความเชื่อของชาวคริสต์นั้นเป็นคนละคนกัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอสงวนที่จะไม่ตอบเรื่องเยซูตามความเชื่อของชาวคริสต์
แต่ความเชื่อเกี่ยวกับนบีอีซา เป็นอะกีดะห์ ที่มุลลิมทุกคนจะต้องเชื่อให้ถูกต้องด้วย ซึ่งความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เราได้รับมาจากคัมภรีอัลกุรอาน และคำสอนของศาสนทูตมูฮัมหมัด ซึ่งเราสามารถพูดและอธิบายเรื่องนี้ได้ตามตัวบทหลักฐานเท่านั้น และการที่ท่านถามว่านบีอีซามีครอบครัวหรือไม่นั้น ผมไม่เคยพบหลักฐานจากอัลกุรอานและฮะดีษ ที่จะยืนยันว่ามีหรือไม่มี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วขอให้ท่านหยุดพิจารณาในประเด็นนี้ ซึ่งในทางวิชาการเขาเรียกว่า ตะวักกุฟ เพราะการที่จะบอกว่ามีก็ไม่มีหลักฐาน และการจะบอกว่าไม่มีก็ไม่มีหลักฐานเช่นเดียวกัน
ส่วนการที่ท่านถามว่าจะร่วมประท้วงกับชาวคริสต์ได้หรือไม่นั้น ขอตอบว่า มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นแก่มุสลิมคนใดเลย ที่จะปกป้องพระเยซูตามความเชื่อของคริสตัง เพราะเป็นคนละคนกับอีซา อลัยฮิสลามที่เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ แต่ผมให้ข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า ในขณะที่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศอ็ลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ถูกดูแคลนนั้น มุสลิมในเมืองไทยส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉย แต่พอเยซูคริสถูกอธิบายว่ามีครอบครัว มุสลิมบางคนกลับร้อนรนจะไปประท้วงกับเขาด้วย มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ
......................................................................................................................
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 9 การศรัทธาต่อบรรดารอซูล คำถามโดย ช่วยตอบหน่อย
ทำไมในรุก่นอีหม่านจึงต้องศรัทธาต่อบรรดารอซูลด้วย เพราะชะฮาดะฮ์ของเราที่กล่าวปฏิญานคือนบีมูฮัมหมัดคนเดียว อัสฮาดุอันนะมูฮัมมะดัรรอซูลุ้ลลอฮ์ ข้าขอปฏิญาณว่ามูฮัมหมัดคือรอซูลของอัลลอฮ์ ไม่เข้าใจจริงๆ
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
ศาสนาอิสลามมิใช่เพิ่งจะมีมาในยุคของท่านนบีมูฮัมหมัดเท่านั้น แต่กอ่นหน้านั้นพระองค์อัลลอฮ์ได้ส่งศสานทูตของพระองค์มาเรียกร้องเชิญชวนผู้คนสู่อิสลามในทุกยุคทุกสมัย โดยเรื่องราวของรอซูลบางท่านได้ถูกนำมากล่าวไว้ในอัลกุรอาน และบางท่านก็มิได้นำมากล่าวไว้
พระองค์ได้ทางกล่าวว่า
وَرُسُلاً قَدْ قَصَصْنَا هُمْ عَلَيْكَ مِنْ قَبْلُ وَرُسُلاً لَمْ نَقْصُصْهُمْ عَلَيْكَ
และมีบรรดาศาสนทูต ที่เราได้เล่าเรื่องของพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว และมีศาสนทูตที่เราไม่ได้เล่าเรื่องของพวกเขาแก่เจ้า ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 164
บรรดาศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮ์ที่ได้ถูกนำมากล่าวไว้ในอัลกุรอาน หรือที่ท่านรอซูลได้นำมาบอกนั้น มุสลิมทุกคนต้องเชื่อศรัทธาว่า พวกเขาคือศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮ์ด้วย โดยเราจะไม่เชื่อเป็นบางท่านและปฏิเสธเป็นบางท่าน
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
آمَنَ الرَّسُوْلُ بِمَا أُنْزِلَ اِلَيْهِ مِن رَّبِّهِ وَالمُؤْمِنُوْنَ كُلٌّ آمَنَ بِاللهِ وَمَلائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ
ورسله لا نفرق بين أحد من رسله
รอซูลนั้นศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมายังท่าน และมุอ์มินทุกคนก็ศรัทธาเช่นเดียวกัน ทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดามะลาอิกะห์, บรรดาคัมภีร์ และบรรดารอซูลของพระองค์ โดยเราไม่แยกการศรัทธาระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดารอซูลของพระองค์ ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 285
ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธการศรัทธาต่อบรรดารอซูลที่พระองค์อัลลอฮ์ และท่านนบีมูฮัมหมัดได้นำเอามากล่าวไว้ เพียงแต่ข้อบัญญัติที่บรรดารอซูลได้นำมาสั่งสอนในแต่ละยุคนั้นจะแตกต่างกันออกไป แต่เราเป็นประชาติยุคสุดท้าย ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งท่านนบีมูฮัมหมัด ให้เป็นรอซูลเพื่อประกาศอิสลาม ดังนั้นเราจึงต้องนำเอาข้อบัญญัติที่ท่านนบีมูฮัมหมัดสั่งสอน มาถือปฏิบัติ
และคำปฏิญานของเราที่ว่า อัชฮาดุอันนามูฮัมมะดัรรอซูลุ้ลลอฮ์ ก็มิใช่หมายถึงการยอมรับในตัวของท่านว่าเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงการยอมรับในคำสอนของท่านด้วย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[ กลับไปข้างบน ]
|
· คำถามที่ 10 ตัวช่วย คำถามโดย คนอยุธยา
เนื่องจากผู้ถามได้เขียนเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมายาวมาก ทางทีมงานจึงขออนุญาตสรุปเป็นประเด็นและตั้งเป็นคำถามได้ดังนี้
เทศกาลของทุกปี โดยเฉพาะวันอีดเล็กและอีดใหญ่ จะมีมุสลิมจำนวนมากแห่กันไปทำพิธีที่มะก่อมของโต๊ะตะเกี่ย เพื่อขอริสกี ขอให้แคล้วคลาด บ้างก็มาแก้บน ผมรู้ดีว่าการทำอย่างนั้นเป็นชิริก แต่ไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไร ได้แต่เตือนญาติใกล้ชิด และคนที่พอจะเตือนได้เท่านั้น แต่พวกเขาจะอ้างว่า ไม่ได้ขอกับตะเกี่ย เพียงให้ท่านช่วยขอต่ออัลลอฮ์อีกทีหนึ่ง ข้ออ้างของเขาถูกต้องหรือ
คำตอบโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่า ยังมีพี่น้องมุสลิมของเราอีกจำนวนมาก กระทำสิ่งที่หมิ่นเหม่ต่อการตกศาสนา ด้วยการบวงสรวง, กราบไหว้, หรือวิงวอนขอต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ และเหตุการณ์ที่ว่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นที่เดียวตามคนอยุธยาได้ถามมา แต่มะก่อมของบรรดาผู้ที่เขาเชื่อว่าเป็นโต๊ะวะลีกะรอมัตนั้น กระจายอยู่ทั่วเมืองไทย และต่างก็มีตำนานพิสดารอันลือลั่น จนกล่าวกันว่า บุคคลเหล่านั้นตอนที่มีชีวิตอยู่เขาเป็นคนที่มีบุญญาธิการ บางคนสามารถเดินบนน้ำ บางคนเหาะเหิรเดินอากาศได้ บางคนหายตัวได้ บางคนแบ่งร่างไปปรากฏในหลายสถานที่ และฯลฯ สถานที่เหล่านี้ที่ขึ้นชื่อก็เห็นจะมี โต๊ะตะเกี่ย อยู่ที่อยุธยา, โต๊ะเกาะไร่ อยู่ที่ ฉะเชิงเทรา, โต๊ะระยองอยู่ที่ จ.ระยอง, และโต๊ะมะขามอยู่ที่ จ.ตราด เป็นต้น
เนื่องจากความหละหลวมของบรรดาผู้นำตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ที่ไม่เอารู้เอาชี้กับเรื่องที่เป็นอันตรายต่ออะกีดะห์ของบรรดามุสลิม แต่เขาจะให้ความสำคัญกับอาหารที่จะกินลงท้อง ที่ต้องกวดขันไล่ตีตราฮาลาล แต่มุสลิมเสพอะกีดะห์ผิดๆ เช่นนี้พวกเขากลับนิ่งเฉย จนวันเวลาผ่านไปเนินนานทำให้สถานที่เหล่านี้ถูกมองว่าขลังและศักดิ์สิทธิ จนกลายเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน และไม่เฉพาะมุสลิมเพียงอย่างเดียว บางที่ก็มีการจัดลิเก มหรสพถวาย ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับศาลเจ้าพ่อ,เจ้าแม่ที่มีอยู่ดาษดื่น แต่ที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็คือบริเวณที่ทำการนั้นคืออณาเขตของมัสยิด หรือบางที่ไม่ใช่เขตมัสยิดแต่ก็เป็นกุโบร์ของมุสลิม แต่การจะจัดการใดๆในปัจจุบันดูจะเป็นเรื่องยากเข้าไปทุกที เพราะบางสถานที่ก็ได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานไปแล้ว
ที่จริงตามข้อกำหนดของศาสนานั้น หน้าที่ของคนเป็นจะต้องขอดุอาอ์ให้กับผู้ตาย ไม่ใช่ไปขอเอาจากผู้ตาย และหากผู้ตายสามารถเนรมิตสิ่งใดให้ได้ละก็ บุคคลที่ประเสริฐที่สุดที่น่าจะวิงวอนขอมิใช่นบีมูฮัมหมัดหรอกหรือ เพราะท่านก็ตายไปแล้วเช่นกัน หรือบรรดาคลลีฟะห์ บรรดาศอฮาบะห์ผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายจะไม่ดีกว่าหรือ แต่เราก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเราประกาศตนอยู่ทุกวัน และวันละหลายครั้งว่า
اِيَّاكَ نَعْبُدُ وَاِيَّاكَ نَسْتَعِيْنُ
เฉพาะพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้นที่เราจะอิบาดะห์ และเฉพาะอัลลออ์เท่านั้นที่เราจะวิงวอนขอช่วยเหลือ ซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ อายะห์ที่ 5
ด้วยเหตุนี้การวิงวอนขอต่อคนตายจึงเป็นชิริก (การตั้งภาคี) อย่างไม่ต้องสงสัยและไม่มีข้อขัดแย้งในหมู่ปวงปราชญ์
ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
اِذَا مَاتَ الانْسَانُ اِنْقَطَعَ عَنْهُ عَمَلُهُ
เมื่อมนุษย์ได้ตาย งานของเขาก็จบแล้ว รายงานโดยอบูฮุรอยเราะห์ บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3084
บุคคลที่นอนอยู่ในกุโบร์นั้น เมื่อตอนเขามีชีวิตอยู่เขาก็ต้องทำอะมัลเหมือนอย่างกับเราที่ละหมาด,บวช,ซะกาต,ฮัจญ์, ขอดุอาอ์, และอื่นๆ แต่เมื่อเขาจากดุนยาไป งานของเขาก็จบ ข้างต้นนี้คือคำยืนยันจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แต่เราผู้อยู่เบื้องหลังยังไม่ยอมให้งานของคนตายจบด้วยการเอาเขาเป็นสื่อให้ขอดุอาอ์ให้แก่เราอีก
ส่วนคำอ้างที่ว่า ไม่ได้ขอกับตะเกี่ย เพียงให้ท่านช่วยขอต่ออัลลอฮ์อีกทีหนึ่ง เป็นคำที่พ้องกับคำของพวกมุชรีกีนที่ได้กล่าวอ้างไว้ ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงนำมากล่าวไว้ว่า
وَالَّذِيْنَ اتَّخَذُوا مِنْ دُوْنِهِ أوْلِيَاءَ مَا نَعْبُدُهُمْ اِلاَّ لِيُقَرَبُوْنَا الِى اللهِ زُلْفًا
และบรรดาผู้ที่เอาสิ่งอื่นเป็นผู้คุ้มครองนอกจากอัลลอฮ์ (พวกเขากล่าวว่า) เราไม่ได้อิบาดะห์ต่อสิ่งเหล่านั้น นอกจากเพื่อทำให้เราได้ใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์ ซูเราะห์อัชซุมัร อายะห์ที่ 3
คนที่ให้คนตายขอดุอาอ์ให้เขาไม่แตกต่างจากมุชรีกีนในอายะห์ข้างต้นนี้เลย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[ กลับไปข้างบน ]
|