การที่เราจะพูดถึงความเชื่อของชีอะฮ์นั้นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ เพราะคำพูดพวกเขามักจะไม่อยู่กับร่องกับรอย และมักจะพูดไม่ตรงกันเองบ่อยครั้ง ถ้าหากเราบอกว่าเขาเชื่ออย่างนี้ พวกเขาก็จะปฏิเสธว่า พวกเขาไม่ได้เชื่อเช่นนั้น ทำให้ผู้อื่นมองว่า คำพูดของเราเป็นการใส่ร้ายไปโดยทันที
แต่ความจริงแล้วในศาสนาของชีอะฮ์นั้นมีบัญญัติอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่า “ตะกียะห์” คือการอำพรางตน ซึ่งถือเป็นวิทยายุทธล้ำเลิศและมีผลบุญจากการปฏิบัติมหาศาล ด้วยเหตุนี้ชาวชีอะฮ์จึงสามารถที่จะแสดงออกด้วยคำพูดหรือทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อของพวกเขา โดยไม่ถือว่าเป็นการ “นิฟาก” หมายถึงการหน้าไหว้หลังหลอก
ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเราก็คือให้ตำราของพวกเขาบอกตัวตนของพวกเขาเองว่า พวกเขามีความเชื่อและการปฏิบัติกันอย่างไร เพราะถ้าพวกเขาปฏิเสธว่าไม่จริงตามนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ปฏิเสธตำราของพวกเขาเอง หรือพวกเขาปฏิเสธซึ่งกันและกันด้วยตัวของพวกเขาเอง
ต่อไปนี้เป็นความเชื่อของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง จากตำราของชีอะฮ์เอง
ความเชื่อของชีอะฮ์ในเรื่องอัลกุรอาน
มูฮัมหมัด บินยะอ์กู๊บ อัลกุลัยนี่ เจ้าของตำราฮะดีษขนานเอกของชีอะฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “อุศูลุ้ลกาฟีย์” ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ไม่มีผู้ใดรวมฮะดีษไว้ทั้งหมดนอกจากบรรดาอิหม่าม” ว่า
عن جابر قال سمعت أبا جعفر يقول ما أدعى أحد من الناس أنه جمع القرآن كله كما أنزل الله
الا كذاب وما جمعه وحفظه كما أنزل الله الا علي بن أبي طالب والأئمة من بعده
“รายงานจากญาบิรว่า ฉันเคยได้ยินอบาญะอ์ฟัรได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดในมวลมนุษย์ที่อ้างว่าเขารวยรวมอัลกุรอานไว้ทั้งหมดดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากเขาเป็นคนโกหก และไม่มีผู้ใดรวมและจดจำอัลกุรอานดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากอาลี บินอบีตอลิบและบรรดาอิหม่ามหลังจากเขาเท่านั้น” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 1/284
عن جابر عن أبي جعفر عليه السلام أنه قال ما يستطيع أحد أن يدعي أن عنده القرآن ظاهره وباطنه غير الأوصياء
รายงานจากญาบิร จากอบีญะอ์ฟัร อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเขามีอัลกุรอานทั้งอักษรและความหมายนอกจากบรรดาวะซีย์ (ผู้ที่ได้รับการสั่งเสียให้ดำรงตำแหน่งอิหม่ามหลังจากท่านนบีสืบต่อมา) เท่านั้น” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 1/285
عن هشام بي سالم عن أبى عبد الله عليه السلام قال ان القرآن الذي جاء به جبريل عليه السلام
الي محمد صلى الله عليه وسلم سبعة عشر ألف آية
“จากฮุซาม บิน ซาเล็ม จากอบีอับดิลลาฮ์ อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลกุรอานที่ญิบรีล อลัยฮิสสลาม ได้นำมาให้แก่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น มีทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันอายะห์” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 2/634
ซัยค์อัลมัจลีซีย์ ได้ให้น้ำหนักฮะดีษบทนี้โดยกล่าวไว้ในหนังสือ มิรอาตุ้ลอุกู้ล ว่า
“ฮะดีษบทนี้ศอเฮียะห์ อย่างชัดเจนโดยไม่มีข้อสงสัย นอกจากนี้ยังมีฮะดีษซอเฮียะห์อีกหลายบทในเรื่องการตกหล่นและการเปลี่ยนแปลงอัลกุรอาน แต่สำหรับฉัน (อัลมัจลีซีย์) ถือว่าฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีหลายรายงานที่มีความหมายสอดคล้องกัน” จากหนังสือมิรอาตุ้ลอุกูล 12/525
จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นตัวบทหลักฐานเพียงบางส่วนจากตำราของชีอะฮ์เอง มิใช่การใส่ร้ายหรือกล่าวหาพวกเขาอย่างเลื่อนลอย นอกจากนั้นแล้วเรายังได้นำเอาคำสำทับจากอุลามาอ์ของชีอะอ์ที่ยืนยันว่าตัวบทข้างต้นว่ามีความถูกต้อง และยังมีอีกหลายรายงานที่มีความหมายพ้องกันในเรื่องนี้
อัลลามะห์ ฮุเซน บินมูฮัมหมัด ตะกีย์ อัลนูรีย์ อัตตอบรอซีย์ ( เสียชีวิตในปีที่ 1320 ฮิจเราะห์ศักราช) ยังได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ฟัตลุ้ลคิตอบ” โดยอ้างว่า ท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร และท่านอุสมาน ได้บิดเบือนอัลกุรอาน และทำให้อัลกุรอานในเรื่องที่เกี่ยวกับอะห์ลุ้ลบัยต์ขาดหายไปหลายอายะห์ และหลายซูเราะห์ด้วยกัน เช่นในซูเราะห์ الم نشرح ซึ่งในซูเราะห์นี้กล่าวถึงท่านอาลีเป็นการเฉพาะ แต่ก็ถูกตัดออกไปคืออายะห์ที่ว่า
وجعلنا عليا صهرك
“และเราได้ทำให้อาลีเป็นลูกเขยเจ้า”
นอกจากนี้อัลลามะห์ ฮุเซน บินมูฮัมหมัด ตะกีย์ อัลนูรีย์ อัตตอบรอซีย์ ยังอ้างว่ามีอัลกุรอานอีกหลายซูเราะห์ที่ขาดหายไปจากอัลกุรอานฉบับปัจจุบัน เช่นซูเราะห์อัลวิลายะห์
หลังจากที่ได้อ่านข้อความที่ถูกอ้างว่าเป็นอัลกุรอาน ชื่อซูเราะห์อัลวิลายะห์ตามที่ อัลนูรีย์ อัตตอบรอซีย์ได้กล่าวอ้างว่าเป็นซูเราะห์ที่ถูกตัดออกไปนั้น รู้สึกไม่คุ้นเคยกับภาษาอาหรับที่แปร่ง อีกทั้งสำนวนยังแตกต่างกับสำนวนภาษาของอัลกุรอ่านอีกด้วย ส่วนเนื้อหาตามที่ปรากฏนั้นก็ระบุถึงท่านอาลีโดยตรง ซึ่งซูเราะห์ที่เขากล่าวอ้างมีใจความดังนี้
“ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าจงศรัทธาต่อนบีและศรัทธาต่อวะลีย์เถิด ซึ่งทั้งสองนั้นได้ถูกส่งมาเพื่อชี้นำพวกเจ้าทั้งหลายสู่ทางที่เที่ยงตรง * นบีและวลีย์นั้นต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และข้านั้นเป็นผู้รอบรู้และตระหนักดียิ่ง * แท้จริงบรรดาผู้ซึ่งรักษาพันธสัญญาของอัลลอฮ์นั้น พวกเขาจะได้เข้าสวนสวรรค์อันบรมสุข * และบรรดาผู้ซึ่งที่โองการต่างๆของเราถูกอ่านปรากฏว่าพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธโองการของเรา * แท้จริงสำหรับพวกเขาจะเข้าสู่นรกญะฮันนัมโดยมันเป็นที่พำนักอันยิ่งใหญ่ และเมื่อมีเสียงเรียกพวกเขาในวันกิยามะห์ว่า บรรดาผู้อธรรมและผู้ปฏิเสธรอซูลนั้นอยู่ที่ไหน * รอซูลนั้นไม่ได้โต้แย้งกับพวกเขานอกจากที่เป็นสัจธรรม และที่อัลลอฮ์จะให้ประจักษ์แก่พวกเขาในเวลาที่ใกล้เหลือเกิน * ดังนั้นเจ้าจงสดุดีสรรเสริญองค์อภิบาลของเจ้า และอาลีนั้นเป็นหนึ่งในบรรดาประจักษ์พยาน” ฟัตลุ้ลคิตอบ หน้าที่ 181
เมื่อเราได้อ่านข้อความของอุลามาอ์ชีอะฮ์ทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นอัลมัจลีซีย์ หรือ อัตต๊อบรอซีย์ ต่างก็ยืนยันว่าอัลกุรอานที่มีอยู่นี้ไม่ครบ ซึ่งสอดคล้องกับคำรายงานฮะดีษของชีอะฮืที่ระบุไว้ในอุศูลุ้ลกาฟีว่า อัลกุรอานทั้งหมดมีจำนวน 17,000 อายะห์
หากแต่อุลามาอ์ของชีอะฮ์บางกลุ่ม และผู้รู้ของชีอะฮ์ในบ้านเราได้ปฏิเสธความเชื่อดังกล่าว และยืนยันว่าอัลกุรอานเหมือนกัน เล่มเดียวกันกับที่ชาวโลกใช้อยู่ขณะนี้ ซึ่งมีจำนวนหกพันกว่าอายะห์ ไม่ใช่หนึ่งหมื่นเจ็ดพันอายะห์ตามที่มีในบันทึกของอัลกุลัยนีย์ และเมื่อตำราหลักของชีอะอ์กับคำพูดของชีอะห์ไม่ตรงกัน จะให้เราเชื่อได้อย่างไรว่าอันไหนคือความถูกต้อง เพราะ
ถ้าความเชื่ออย่างที่มีระบุในตำรามีความถูกต้อง ความเข้าใจของชีอะฮ์ในบ้านเราก็ผิดพลาด หรือถ้าความเข้าใจของชีอะฮ์บ้านเราถูกต้อง ตำราของชีอะอ์ก็มีความผิดพลาดเช่นเดียวกัน
และที่เราได้ยินได้ฟังก็คือ เมื่อเขาบอกกับผู้คนโดยทั่วไปนั้น เขาก็จะพูดว่า อัลกุรอานเหมือนกัน เล่มเดียวกัน ส่วนรายงานในบันทึกตามที่ว่ากันนั้นเป็นรายงานที่ฏออีฟ ถ้าเช่นนั้นผู้รู้ของชีอะอ์ในเมืองไทยกับผู้รู้ของชีอะฮ์ที่ชื่ออัลมัจลีซี่ย์ หรืออัตต๊อบรอซีย์ ก็ค้านกันเอง แล้วใครจริงใครเท็จ หรือใครตะกียะห์ (อำพรางตน) กันแน่ หรือนี่คือความขัดแย้งในหมู่ชีอะอ์ด้วยกันเองที่ยังหาบทสรุบไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งในประเด็นเล็กน้อย เพราะคือการศรัทธาต่อคัมภีร์อัลกุรอาน และจำนวน 6,000 กว่าอายะห์กับ 17,000 อายะห์นั้นก็ไม่ใช่จำนวนที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยเสียด้วย หรือว่าขณะนี้ชีอะฮ์ยังหาสัจธรรมไม่เจอ
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
اِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِكْرَ وَاِنَّا لَهُ لَحَافِظُوْنَ
“แท้จริงเราได้ประทานข้อเตือน (อัลกุรอาน) และเราได้ปกปักษ์รักษามัน” ซูเราะห์อัลฮิจร์ อายะห์ที่ 9
ความเชื่อของชีอะฮ์ในเรื่องฮะดีษ
ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองมีความเชื่อในเรื่องฮะดีษที่แตกต่างไปจากมุสลิมทั้งโลก พวกเขามิได้เอารายงานฮะดีษจากตำราฮะดีษของชาวซุนนะห์ ไม่ว่าจะเป็นศอเฮียะห์บุคคอรี,ศอเฮียะห์มุสลิม,สุนันอบีดาวูด,สุนันนะซาอีย์,สุนันอิบนิมาญะห์,มุสนัดิหม่ามอะห์หมัด หรือตำราบันทึกฮะดีษอื่นๆ ที่ชาวซุนะห์ใช้กัน แต่พวกเขาจะเอาตำราฮะดีษของซุนนะห์มาอ้างแล้วก็แปลหรืออธิบายอย่างใส่ไคล้เพื่อสร้างความหวาดระแวงให้กับชาวซุนนะห์เท่านั้นเอง
ที่จริงแล้วชาวชีอะอ์จะมีฮะดีษและสายรายงานฮะดีษของพวกเขาเป็นการเฉพาะ ซึ่งก่อนที่เราจะพูดถึงความเชื่อของชีอะฮืในเรื่องฮะดีษนี้ คงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ชาวชีอะฮ์มีความเชื่อว่า บรรดาอิหมามของพวกเขานั้น ปราศจากความผิด เป็นผู้ไร้มลทิน (มะอ์ซูม)
ด้วยเหตุนี้คำรายงาน หรือสายรายงานที่อ้างถึงอิหม่ามคนใดของพวกเขาก็ตาม ถือว่าเป็นรายงานงานที่ถูกต้อง และใช้เป็นมาตรฐานทางศาสนา ฉะนั้นสายรายงานฮะดีษของชีอะอ์จะสิ้นสุดที่อิหม่าม โดยเฉพาะอิหม่ามลำดับที่หก ท่านญะฟัร ศอดิก หรืออบู อับดิลลาฮ์ ที่มักจะถูกอ้างถึงอยู่เป็นประจำ ตัวอย่างเช่นคำรายงานต่อไปนี้
عن جعفر عليه السلام كان الناس أهل ردة بعد النبي صلى الله عليه وسلم الا ثلاثة فقلت من
الثلاثة فقال المقداد بن الأسود وأبو ذر الغفاري وسلمان الفارسي
“จากญะฟัร อลัยฮิสสลาม ว่า ปรากฏว่าผู้คนได้ตกมุรตัด (สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมทั้งหมด) นอกจากสามคนเท่านั้น ฉันจึงได้ถามว่า สามคนนั้นคือใคร เขาตอบว่า คือมิกด๊าด บินอัสวัด, อบูซัรริน อัลฆิฟารีย์ และซัลมาน อัลฟารีซีย์” จากฟุรูอุลกาฟีย์ โดยกุลัยนีย์ หน้าที่ 115
ด้วยเหตุที่ชาวชีอะฮ์เชื่อว่า บรรดาศอฮาบะห์ตกมุรตัดทั้งหมด ยกเว้นเพียง 3 คนเท่านั้น ดังนั้นการรายงานของคนมุรตัด (ตามที่ชีอะฮ์เข้าใจ) จึงไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่จะยอมรับได้ (แต่ก็ใช่ว่ากลุ่มชีอะฮือิหม่ามสิบสองจะยอมรับการรายงานจากศอฮาบะห์ทั้งสามท่านที่พวกเขากกล่าวว่ายังคงเป็นมุสลิมอยู่ พวกเขาก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน)
ฉะนั้นชาวชีอะอ์จึงรับเฉพาะสายรายงานที่อ้างว่าสืบถึงอะห์ลุ้ลบัยต์ แต่เมื่อเราดูรายละเอียดตามที่อ้างกลับพบว่า ทั้งผู้รายงาน และผู้บันทึกฮะดีษต่างก็ไม่ใช่อะห์ลุลบัยต์ด้วยกันทั้งสิ้น เช่นผู้รายงานชื่อกระฉ่อนในสายรายงานฮะดีษของชีอะฮ์ที่ชื่อ “ซุรอเราะห์” หรือซุรอเราะห์ อิบนุอะอ์ยัน ชาวกูฟะห์ ซึ่งเป็นจอมโกหกตัวยง เขามักจะอ้างถึง อบีญะอ์ฟัร หรือท่านอิหม่ามบากิร ในคำรายงานของเขาเสมอว่า “ถูกรายงานมาจากอบียะอ์ฟัร” ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพบกับอบียะอ์ฟัรเลย (ดูมีซานุลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 2 หน้าที่ 70)
หรือผู้บันทึกฮะดีษนามระบือของชีอะฮ์ เจ้าของตำราฮะดีษชื่อ “อัลกาฟีย์” นามว่า มูฮัมหมัด ยะอ์กู๊บอัลกุลัยนี่ย์ ผู้บันทึกความจริงปนเท็จ ในขณะที่ตัวของเขาเองก็ไม่ใช่อะฮ์ลุ้ลบัยต์
ฉะนั้นเราจึงได้เห็นความเลอะเทอะจากตำราฮะดีษของชีอะอ์ ซึ่งชาวชีอะฮ์เองก็ยอมรับว่าในตำราฮะดีษของเขานั้นมีทั้งถูกและผิด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิดการสงสัยในคำพูดที่ลัทธิชีอะฮ์มักจะอ้างกันเสมอว่า แนวทางของพวกเขาเป็นแนวทางที่ใสสะอาดบริสุทธิ์จากอะฮ์ลุ้ลบัยต์ แต่ปรากฏว่า อะฮ์ลุ้ลบัยต์ของพวกเขามัวหมองด้วยการแอบอ้างของผู้อื่น แล้วอย่างนี้จะกล่าวได้อย่างไรว่า ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองเป็นแนวทางบริสุทธิ์จากลูกหลานของท่านนบี
นอกจากนั้นแล้ว เรายังไม่เคยพบตำราตรวจสอบฮะดีษของลัทธิชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองเลย ไม่ว่าจะเป็นตำราตวรจสอบสายรายงาน,ผู้รายงาน,คำรายงาน หรือกระบวนการตรวจสอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรับเอาข้อมูลในตำราของพวกเขาทั้งจริงปนเท็จ และเท็จปนจริงเช่นนี้อยู่ร่ำไป
และนี่คือความแตกต่างระหว่างซุนนะห์กับชีอะอ์ในการยึดหลักฐานและมาตรฐานทางทางศาสนาอีกประการหนึ่ง
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.