ค้นหา  ·  หัวข้อเรื่อง  ·  เข้าระบบ  ·  เผยแพร่เรื่อง
                      สมัครสมาชิก  

หนังสือใหม่

ผลงานล่าสุด
ของ อ.ฟารีด เฟ็นดี้


อีซีกุโบร์



พิธีกรรมยอดฮิตติดอันดับของเมืองไทย อิซีกุโบร์ พิธีกรรมเซ่นสังเวยดวงวิญญาณ วิเคราะห์เจาะลึกถึงที่มาพร้อมวิเคราะห์หลักฐาน คนกินข้าว ผีกินบุญ จริงหรือ ?

อุศ็อลลี



เหนียตและการตะลัฟฟุซแตกต่างกันอย่างไร แสดงที่มาของการกล่าวอุศ็อลลี แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

ซัยยิดินา



การเพิ่มซัยยิดินาในศอลาวาต เป็นฮะดีษศอเฮียะห์จริงหรือ แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

การยกมือตั๊กบีร
ระหว่างสองสุญูด




การยกมือตั๊กบีรระหว่างสองสุญูด เป็นซุนนะห์จริงหรือ วิเคราะห์หลักฐานที่กล่าวกันว่าท่านนบีกระทำเป็นบางครั้งจริงหรือไม่

วะบิฮัมดิฮี



หลักฐานการอ่านวะบิฮัมดิฮีในรุกัวอ์และสุญูดถูกต้องหรือ เชคอัลบานีว่าเป็นฮะดีษ ศอเฮียะห์จริงหรือไม่ พิสูจน์หลักฐานตามศาสตร์ของฮะดีษ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอ

วาญิบต้องศอลาวาต
ในตะชะฮุดแรกหรือ




ชี้แจงมุมมองของเชคอัลบานี ที่ตกทอดสู่เมืองไทย ถ้าไม่อ่านศอลาวาตในตะชะฮ์ฮุดแรกละหมาดใช้ไม่ได้ หากลืมก็ต้องสุญูดซะฮ์วี จริงหรือ อ่านวิเคราะห์หลักฐานทางวิชาการ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอง

รู้ทันชีอะฮ์



เผยกลลวงของชีอะห์ในการดึงมุสลิมออกจากอิสลาม
ตอบโต้ข้อกล่าวหา,ใส่ร้าย,ประณามศอฮาบะห์

ติดต่อและสั่งซื้อได้ที่
คุณยะอ์กู๊บ น้อยนงค์เยาว์
084 0004619


รวมวิดีโอ

>>..ดูทั้งหมด..<<


เมนูหลัก

 บริการหลัก
หน้าแรก
ถามตอบ
ติดต่อสอบถาม
แนะนำบอกต่อ
ค้นหา
แสดงสถิติ
ผลสำรวจ
ยอดฮิตติดอันดับ
 บริการสมาชิก
รายนามสมาชิก
 บริการข่าวสาร
 บริการอื่นๆ
ดาวน์โหลด
วิดีโอบรรยาย
ห้องแสดงภาพ
ฮะดีษแปลไทย


บทความรายวิชา








วิเคราะห์ข้อขัดแย้ง

  ศอฮาบะห์กางเต้นท์อ่านอัลกุรอานบนกุโบร์หรือ
  อัลกอมะห์กับแม่
  อิสลามเปลี่ยนวันใหม่ตอนมักริบไม่ใช่เที่ยงคืน
  เฝ้ากุโบร์ไม่ฮะราม..หรือ
  วิพากษ์หลักฐานเรื่องทำกุรบานให้คนตาย
  ถือศีลอดสิบวันแรกเดือนซุ้ลฮิจญะห์เป็นฮะดีษศอเฮียะห์หรือไม่
  วันที่ 9 ซุ้ลฮิจญะห์ที่ไม่มีอะรอฟะห์
  มีหลักฐานห้ามไหม
  กล่าวเท็จต่อท่านนบีว่า ท่านอ่านอัลกุรอานในกุโบร
  วิพากษ์หลักฐานการอ่านอัลกุรอานที่กุโบร์ ตอนที่ 3 คำรายงานที่ถูกต้องจากอิบนิอุมัร

[ดูเรื่องทั้งหมด]

บทความทั่วไป

  ทำบุญประเทศ
  เมื่อโลกหยุดหมุน
  ผีแม่ซื้อ
  ประเพณีการแต่งงานของมุสลิมภาคใต้
  อาซูรอ 10 มุฮัรรอม กับตำนานกวนซุฆอ
  เมาตาคือใคร
  ...ทาส... ตอนที่ 2
  ...ทาส... ตอนที่ 1
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 2
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 1

[ดูเรื่องทั้งหมด]

เหมือนหรือต่าง

ภาพเปรียบเทียบระหว่างพิธีการทรมานตนเองของชาวชีอะฮ์ อิหม่าม 12 ในวันที่ 10 มุฮัรรอมของทุกปี กับม้าทรงของศาลเจ้าสามกอง ในงานประจำปี จ.ภูเก็ต


ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง


เวบลิ้งค์

มรดกอิสลาม
อัซซุนนะห์
ซุนนะห์ไซเบอร์
ชมรมวะรอซะตุซซุนนะฮฺ แนวร่วมมุสลิมต่อต้านรอฟิเฏาะ - ร่วมต่อต้านวันนี้ หรือจะรอให้สายเกินไป



อิมามะห์ การศรัทธาต่ออิหม่าม




การศรัทธาต่ออิมามะห์เป็นเรื่องสำคัญในศาสนาชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองมาก จนกระทั่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในหลักการศรัทธาของศาสนานี้ภายใต้หัวข้อที่ว่า “อิมามะห์” แปลว่าตำแหน่งอิหม่าม



คำว่าตำแหน่งอิหม่าม กับตัวอิหม่ามเป็นคำที่มีความหมายต่างกัน ในภาษาอาหรับนั้น คำว่าอิหม่าม เป็นคำเอกพจน์ หมายถึงอิหม่ามคนเดียว แต่ถ้ามากกว่าสามคนขึ้นไปจะใช้คำในรูปของพหูพจน์ว่า “อะอิมมะฮ์” ซึ่งชีอะฮ์ในกลุ่มนี้นับอิหม่ามได้จำนวน 12 คน ฉะนั้นจึงน่าจะเรียกบรรดาอิหม่ามของพวกเขาด้วยคำว่า อะอิมมะห์ เพื่อให้ถูกต้องในทางภาษา แปลว่า บรรดาอิหม่าม หรืออิหม่ามทั้งหลายนั่นเอง




ส่วนคำว่า “อิมามะฮ์” ที่ถูกระบุอยู่ในหลักการศรัทธาของพวกเขานั้นมีความหมายว่า ตำแหน่งอิหม่าม ตัวอย่างเช่นนาย ก มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อนาย ก หมดวาระหรือตายไป บุคคลอื่นก็จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน นั่นแสดงว่าตัวตายแต่ตำแหน่งยังคงอยู่ให้ผู้อื่นรับช่วงต่อไป

เป็นเรื่องแปลกที่ในหลักการศรัทธาของศาสนาชีอะฮ์ข้อนี้ เลือกที่กล่าวถึงตำแหน่งอิหม่าม มากกว่าการกล่าวถึงตัวอิหม่าม นั่นคือการเรียกร้องให้ศรัทธาต่อตำแหน่งอิหม่าม แต่ในทางตรงกันข้าม การอ้างอิงหลักฐานทางศาสนาของพวกเขากลับอ้างเรื่องตัวอิหม่าม มากกว่าตำแหน่งอิหม่ามเสียอีก

กลุ่มชีอะฮ์เชื่อว่า ตำแหน่งอิหม่ามนี้เป็นตำแหน่งทางศาสนา เพราะฉะนั้นจึงต้องมีตัวบทศาสนาระบุถึงการแต่งตั้ง และผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้ย่อมจะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดา หากแต่จะต้องเป็นบุคคลวิเศษและสำคัญก็คือจะต้องเป็นบุคคลที่ปราศจากมลทินใดๆ และที่สำคัญก็คือจะต้องเป็นบุคคลที่สืบเชื้อสายจากอะฮูลุ้ลบัยต์ หมายถึงเชื้อสายวงศ์วานของท่านนบี และจะต้องมาจากสายของท่านอาลี อิบนิอบีตอเล็บด้วย ซึ่งเมื่อเรียงลำดับแล้ว มีจำนวน 12 ท่านดังนี้

1 – ท่านอิหม่ามอาลี อิบนิอบีตอเล็บ
2 – ท่านฮะซัน บุตของท่านอาลี อิบนิอบีตอเล็บ
3 – ท่านฮุเซน บุตรของท่านอาลี อิบนิอบีตอเล็บ (น้องชายของท่านฮะซัน)
4 – ท่านอาลี บุตรของอัลฮุเซน หรือที่รู้จักกันในนาม อิหม่ามซัยนุ้ลอาบีดีน
5 – ท่านมูฮัมหมัด บุตรของท่านอาลี หรือที่รู้จักกันในนาม ท่านอิหม่ามบากิร
6 – ท่านอิหม่ามญะฟัร อัศศอดิก ผู้มีฉายาว่า อบูอับดิลลาฮ์
7 – ท่านอิหม่ามมูซา กาเซ็ม บุตรของท่านอิหม่ามญะอ์ฟัร
8 – ท่านอิหม่ามอาลี ริฏอ บุตรของอิหม่ามท่านมูซา
9 – ท่านมูฮัมหมัด ตะกีย์ บุตรของท่านอิหม่ามอาลี
10 – ท่านอิหม่ามอาลี นะกีย์ บุตรของท่านอิหม่ามมูฮัมหมัด
11 – ท่านอิหม่ามฮะซันอัลอัสกะรีย์ บุตรของท่านอิหม่ามอาลี
12 – 12.1 และ 12.2
12.1 มูฮัมหมัด ผู้ถูกอุปโลกน์เป็นบุตรของท่านอิหม่าฮะซัน อัลอัสกะรีย์
12.2 ท่านญะอ์ฟัร บุตรของท่านอิหม่ามอาลี น้องชายอิหม่ามฮะซัน อัลอัสกะรีย์

กลุ่มชีอะฮ์ได้เกิดขัดแย้งกันเองในเรื่องอิหม่ามลำดับที่สิบสองว่าจะเป็นท่านใด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า อิหม่ามลำดับที่ 11 ชื่อท่านฮะซันอัลอัสการีย์ นั้นไม่มีบุตร พวกเขาจึงได้อุปโลกน์เด็กคนหนึ่งขึ้นมา โดยอ้างว่าท่านอิหม่ามฮะซันแอบได้เสียกับหญิงหนึ่ง ซึ่งหญิงผู้เป็นมารดาอิหม่ามท่านที่ 12 นี้ก็ยังเป็นตำนานที่กลุ่มชีอะฮ์ขัดแย้งกันเอง อย่าว่าแต่บรรดาผู้อยู่นอกรีตชีอะฮ์เพราะแม้แต่ชีอะฮ์ด้วยกันเอง ยังยอมรับเรื่องนิยายที่พวกเขาอุปโลกน์กันเองไม่ได้ ฉะนั้นชีอะฮ์อีกกลุ่มหนึ่งจึงไปเอาน้องชายของท่านอิหม่ามที่ 11 ชื่อท่านญะฟัร เป็นอิหม่ามลำดับที่ 12 โดยชีอะฮ์กลุ่มนี้ให้เหตุผลว่า หากอิหม่ามลำดับที่ 11 มีลูกชายจริงตามที่อ้าง แล้วเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ได้รับมรดกของผู้เป็นพ่อ แต่กลับปรากฏว่า ผู้ที่รับมรดกขณะที่อิหม่าลำดับที่ 11 ตายนั้นกลายเป็นน้องชายของท่าน นี่คือความขัดแย้งกันเองในหมู่ผู้ถือศาสนาชีอะฮ์

อย่างไรก็ตาม อิมามะห์นี้เป็นเรื่องสำคัญที่ถือเป็นฐานรากการศรัทธาในศาสนาของชีอะฮ์ แต่เราก็ไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุพวกเขาจึงยังตกลงกันไม่ได้ในหลักสำคัญๆ เช่นนี้ว่า อิหม่ามท่านที่สิบสองจะเป็นผู้ใดกันแน่ ก็ไหนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องศาสนาตั้งมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นทำไมชาวชีอะฮ์จึงยังตกลงกันไม่ได้ ถ้าศาสนาตั้งไว้แล้วจริงๆ จะมัวถกเถียงกันเองทำไม หรือว่าคำศาสนาแต่งตั้งนั้นเป็นคำลวงโลก

อีกประการหนึ่งที่ยังเป็นข้อกังขาก็คือ เชื้อสายวงศ์วานของท่านนบีมีตั้งหลายเหล่า ซึ่งนอกจากจะมีวงศ์วานของท่านอาลี อิบนิอบีตอเล็บแล้ว ก็ยังมีวงศ์วานของท่านอับบาส,วงวานของท่านอะกี้ล,วงวานของท่านญะอ์ฟัร อีกด้วย แต่เพราะเหตุใด อะฮ์ลุ้ลบัยต์ในมุมมองของชีอะฮ์จึงถูกขีดกรอบเหลือแต่เฉพาะวงศ์วานของท่านอาลีเท่านั้น และยิ่งเราเจาะลึกลงไปอีกก็จะพบว่า แม้แต่วงศ์วานของท่านอาลีเองก็ยังถูกกีดกันออกไป ไม่ใช่มีตามที่ปรากฏนี้เท่านั้น แล้วชีอะฮ์จะตอบข้อกังขาเหล่านี้ด้วยหลักอะไร ระหว่างหลักฐานทางศาสนากับเหตุผล

อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า ตำแหน่งอิหม่ามนั้นมีความสำคัญทางศาสนาของชีอะฮ์ ดังนั้นผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้จึงไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่จะต้องเป็นบุคคลวิเศษ (ตามความเชื่อของพวกเขา) เราลองไปค้นดูความเชื่อของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้จากตำราของพวกเขาเอง

ตัวอย่างที่ 1

กุลัยนี่ได้บันทึกไว้ใน “อุศูล้ลกาฟีว่า

قال الامام جعفر الصادق نحن خزان علم الله نحن تراجمة أمر الله نحن قوم معصومون أمر بطاعتنا ونهي عن معصيتنا نحن حجة الله البالغة على من دون السماء وفوق الأرض

“อิหม่ามญะอ์ฟัร อัศศอดิก ได้กล่าวว่า พวกเราคือขุมขลังความรอบรู้ของอัลลอฮ์ พวกเราถ่ายทอดบัญชาแห่งอัลลอฮ์ พวกเราเป็นหมู่ชวนที่ปราศจากมลทิน พวกเราคือสักขีพยานแห่งอัลลอฮ์ที่เด่นชัดต่อผู้ที่อยู่เหนือฟ้าและแผ่นดิน”
จากอุศูลุ้ลกาฟี เล่มที่ 1 หน้าที่ 165

ข้อความข้างต้นนี้บอกให้เราทราบในสองกรณีด้วยกันคือ หากเป็นข้อความของท่านญะฟัรจริงๆ ก็เท่ากับว่า อิหม่ามของชีอะฮ์ปฏิเสธอัลกุรอาน หรือไม่ก็ชาวชีอะฮ์กุเท็จแอบอ้างใส่ร้ายว่าท่านอิหม่ามเป็นผู้พูด พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

قٌلْ لاَ أَقُوْلُ لَكُمْ عِنْدِي خَزَائِنُ اللهِ وَلاَ أَعْلَمُ الغَيْبَ وَلاَ أَقُوْلُ لَكُمْ أِنِّي مَلَكٌ

“ประกาศเถิดมูฮัมหมัดว่า ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันมีขุมขลังแห่งอัลลอฮ์ และฉันก็ไม่รู้สิ่งที่พ้นญาณวิสัย และฉันก็จะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่าฉันเป็นเทพ”
ซูเราะห์อัลอันอาม

อัลกุรอานในอายะห์นี้ยืนยันชัดเจนว่า ท่านนบีมูฮัมหมัดมิได้เป็นบุคคลวิเศษ ท่านเป็นมนุษย์ธรรมที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นรอซูลเพื่อประกาศศาสนาของอัลลอฮ์ แล้วเพราะเหตุใดฮะดีษของชีอะฮ์จึงยืนยันว่า บรรดาอิหม่ามของพวกเขามีสถานะเหนือท่านรอซูล หรือว่าบรรดาอิหม่ามของเขาได้รับวะฮีย์เป็นการเฉพาะ นอกจากจะยกสถานะของบรรดาอิหม่ามเหนือท่านรอซูลแล้ว เรายังพบว่า พวกเขายกสถานะของอิหม่ามเทียบเท่าพระองค์อัลลอฮ์อีกด้วย
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

للهِ خَزَائِنُ السَمَاوَاتِ وَالأرْضِ

“ขุมขลังแห่งฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์”
ซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน อายะห์ที่ 7

เพราะฉะนั้นฮะดีษของชีอะฮ์ข้างต้นจึงเป็นเรื่องกุเท็จอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผู้ใดเล่าที่กุเรื่องเท็จเช่นนี้ ระหว่างอิหม่ามของชีอะอ์กับชาวชีอะอ์เอง แต่เราไม่เชื่อว่าท่านยะอ์ฟัร อัศศอดิกจะเป็นผู้กุเท็จ และชีอะฮ์เองก็ต้องไม่เชื่อว่าอิหม่ามของท่านกล่าวไว้เช่นเดียวกัน ท่านอาจจะสงสัยว่า เพราะเหตุใดผมจึงพูดว่าชาวชีอะฮ์ต้องไม่เชื่อเช่นนั้น คำตอบก็คือ ถ้าชาวชีอะฮ์เชื่อตามหลักฐานนี้ ก็แสดงว่า ชีอะฮ์เชื่อว่าอิหม่ามของพวกเขาเหนือกว่าท่านรอซูล และอิหม่ามของพวกเขาเทียบเท่าอัลลอฮ์ และอิหม่ามของพวกเขาขัดแย้งกับอัลกุรอาน แล้วไหนละ ที่ชีอะฮ์ประกาศว่า อะฮ์ลุ้ลบัยต์อยู่คู่กับอัลกุรอาน ทำไมคำพูดของอิหม่ามกับอัลกุรอานจึงสวนทางกันเช่นนี้ อย่างนี้หรือ อิหม่ามผู้ไร้มลทินของชีอะฮ์

และหากท่านอิหม่ามไม่ได้พูด ก็เท่ากับฮะดีษบทนี้เป็นการกุเท็จใส่ความท่านอิหม่ามญะฟัร อัศศอดิก ใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นสมควรหรือที่ชีอะฮ์จะปล่อยให้อะฮ์ลุ้ลบัยต์ต้องมัวหมอง ทำไมชีอะฮ์จึงไม่จัดการกับเรื่องเท็จและผู้กุเท็จเสียเล่า หรือว่า ชีอะฮ์เชื่อตามข้อความในฮะดีษนี้จริงๆ

ตัวอย่างที่ 2

ไม่เพียงแต่ผู้บันทึกชื่อดังของชีอะฮ์จะบันทึกเรื่องเลอะเทอะเช่นตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น เขายังได้บันทึกไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “อัลกาฟี” โดยตั้งชื่อบทไว้ว่า

باب أن الأئمة اذا شا ؤوا أن يعلموا علموا

บทที่ว่าด้วยเรื่อง บรรดาอิหม่ามต้องการรู้อะไรก็จะได้รู้


ก่อนหน้านี้เราตั้งข้อสังเกตว่า ใครคือผู้กุเท็จใส่ร้ายต่อบรรดาอิหม่าม ซึ่งเป็นอะฮ์ลุ้ลบัยต์ แต่เมื่อเราได้อ่านชื่อบทนี้แล้วก็พบว่า หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการกุเท็จใส่ร้ายบรรดาอิหม่ามก็คือ มูฮัมหมัด ยะอ์กู๊บ อัลกุลัยนี่ เจ้าของตำราชื่อกระฉ่อนของชีอะฮ์นี่เอง แต่นอกจากชีอะฮ์จะไม่จัดการกับผู้ใส่ร้ายอะฮ์ลุ้ลบัยต์ หรือสะสางตำราของเขาแล้ว ชาวชีอะฮ์ยังยอมยกให้บุคคลผู้นี้เป็นปราชญ์ของพวกเขาอีกด้วย เช่นในหนังสือ “อัลมุรอญิอาต” ภาคภาษาไทย หน้าที่ 93 ฟุตโนตที่ (106) ได้กล่าวยกย่องบุคคลผู้นี้ว่า “รายงานโดยนักปราชญ์คนสำคัญของอิสลามคือกุลัยนีย์”
ส่วนเนื่อหาในบทนี้นั้น อัลกุลัยนี่ได้บันทึกไว้ว่า

عن جعفر أنه قال ان الامام اذا شاء أن يعلم علم وان الأئمة يعلمون متى يموتون وانهم لا يموتون الا باختيارمنهم

“รายงานจากท่านญะอ์ฟัร ได้กล่าวว่า แท้จริงอิหม่ามนั้น เมื่อเขาต้องการจะรู้อะไรก็จะได้รู้ และแท้จริงบรรดาอิหม่ามนั้นพวกเขารู้ว่า เมื่อไหร่ที่พวกเขาจะตาย และพวกเขาจะไม่ตาย นอกจากจะได้เลือกพวกเขาไว้ก่อน”
จากอุศูลุ้ลกาฟี เล่มที่ 1 หน้าที่ 258

นี่เป็นอีกหนึ่งความเท็จที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน โดยพวกเขายกสถานะของอิหม่ามของพวกเขาเหนือกว่าท่านรอซูล และยกให้บรรดาอิหม่ามเทียบเท่าอัลลอฮ์ ซุบฮานั้ลลอฮ์
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

عَالِمُ الغَيْبِ فَلاَ يُظْهِرُ عَلى غَيْبِهِ أَحَدًا اِلاَّ مَنِ ارْتَضَى مِن رَّسُوْلٍ

“พระองค์อัลลอฮ์ผู้ทรงรอบรู้เรื่องเร้นลับ ดังนั้นพระองค์จะไม่เผยสิ่งเร้นลับของพระองค์แก่ผู้ใดนอกจากรอซูลบางคนที่พระองค์ทรงพอพระทัย”
ซูเราะห์อัลญิน อายะห์ที่ 26 – 27

พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแจ้งให้ทราบว่า ความรู้เกี่ยวกับฆอยบ์ทั้งหมดเป็นสิทธิ์แด่พระองค์ และบรรดารอซูลของพระองค์นั้นต่างก็ได้รู้เรื่องฆัยบ์บางส่วน เฉพาะที่พระองค์ทรงประทานให้ไม่เท่ากัน แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดาอิหม่ามของชีอะฮ์จะรู้ได้ทุกอย่าง,หรือทุกเรื่องที่ต้องการจะรู้, และรู้แม้กระทั่งว่าจะตายเมื่อไหร่
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

وَمَا تَدْرِي نَفْسٌ مَاذَا تَكْسِبُ غَدًا وَمَا تَدْرِي نَفْسٌ بِأَيِّ أرْضٍ تَمُوْتُ

“ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอะไรจะเกิดแก่เขาในวันรุ่งขึ้น และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาจะตาย ณ.แผ่นดินใด”
ซูเราะห์ลุกมาน อายะห์ที่ 34

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นตัวอย่างเพียงสังเขปที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของชีอะฮ์เกี่ยวกับตัวอิหม่ามและตำแหน่งอิหม่าม ซึ่งการที่พวกเขาเชื่อว่าอิหม่ามของพวกเขาเป็นบุคคลวิเศษ และที่สำคัญก็คืออิหม่ามของพวกเขานั้นอยู่ในฐานะไร้มลทิน ปราศจากความผิดพลาดใดๆ ฉะนั้นการอ้างอิงหลักฐานทางศาสนาของพวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอ้างถึงอัลกุรอานและฮะดีษของท่านรอซูล เพียงแค่คำพูดหรือการกระทำของอิหม่ามก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นอิหม่ามจึงเป็นหลักฐานทางศาสนาของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง









สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2007-01-12 (7990 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]