พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
اِنَّمَا وَلِيُّكُمُ اللهُ وَرَسُوْلُهُ وَالَّذِيْنَ آمَنُوا الَّذِيْنَ يُقِيْمُوْنَ الصَلاةَ وَيُؤْتُوْنَ الزَكَاةَ وَهُمْ رَاكِعُوْنَ
“อันที่จริงผู้เป็นมิตรของพวกเจ้าคืออัลลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งพวกเขาดำรงการละหมาด,พวกเขาจ่ายซะกาต และพวกเขาเป็นผู้นอบน้อม” ซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 55
ก่อนที่เราจะได้ชี้แจงทำความเข้าใจข้ออ้างของพวกเขา เราไปติดตามดูความโกหกปลิ้นปล้อนของผู้รู้ชีอะฮ์กันก่อนคือ อัลฮะซัน บินยูซุฟ อัลมุเตาะฮัร อัลฮุลลีย์ เขาได้นำเอาอายะห์นี้มาแสดงโดยอ้างว่าเป็นหลักฐานจากอัลกุรอานในการแต่งตั้งท่านอาลีเป็นอิหม่าม แล้วกล่าวว่า
أجمعوا على نزولها في علي عليه السلام وهو مذكور في الصحاح الستة لما تصدق بخاتمه على المسكين في الصلاة بمحضر من الصحابة
“พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าอายะห์นี้ประทานลงมาด้วยเหตุของอาลี อลัยฮิสสลาม โดยมันถูกกล่าวไว้ในบันทึกศอเฮียะห์ทั้งหก ขณะที่ท่านอาลีได้บริจาคแหวนของท่านแก่ผู้ยากจนในขณะละหมาดต่อหน้าเหล่าศอฮาบะห์” นะฮ์ญุ้ลฮัก หน้าที่ 172
เราขอวิจารณ์ความโกหกของอุลามาอ์ชีอะฮ์ผู้อ้างตนว่าเป็นผู้สัจจริงดังนี้
ประการที่หนึ่ง
เราเห็นเล่ห์เพทุบายอุลามาอ์ชีอะฮ์ ที่เขาอ้างลอยๆว่า “พวกเขาเห็นพ้องต้องกัน” ซึ่งทำให้คนทั่วไปเข้าใจไขว้เขวว่า เรื่องนี้บรรดาปวงปราชญ์มีความเห็นตรงกันหรือมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า อายะห์นี้ถูกประทานมาด้วยเหตุของท่านอาลี แต่ถ้าเราไปดูในหนังสือตัฟซีรแต่ละเล่มจะอธิบายถึงเหตุของการประทานที่แตกต่างกันออกไป เช่นในตัฟซีร อัตตอบารีย์ โดยอิบนุญะรีร “ได้รายงานจาก อิบนุอิสหาก จากอิสหากบินยะซารว่า อายะห์นี้ถูกประทานลงมาด้วยเหตุของท่านอุบาดะห์ บินศอมิต ที่แสดงตนจะไม่เป็นมิตรและร่วมมือกับบนีกอยนุกอ์ โดยไม่ยอมอยู่ในอาณัติของเขาเหล่านั้น แต่ได้ปลีกตัวมาหาท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และเล่าเหตุการณ์นี้ให้ท่านรอซูลฟัง” (ดูตัฟซีรอัตตอบารีย์ เล่มที่ 6 หน้าที่ 288)
แล้วอย่างไรเล่าที่ผู้รู้ของชีอะฮ์โกหกมดเท็จว่า พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่า อายะห์นี้ถูกประทานลงมาด้วยเหตุของท่านอาลี หรือว่าการโกหกเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายสำหรับชีอะฮ์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอบีญะอ์ฟัร มูฮัมหมัด บินอาลี หรือรู้จักกันในนามอิหม่ามบากิร ซึ่งเป็นอิหม่ามลำดับที่ 5 ของชีอะฮ์ นั้นเมื่อถูกถามเกี่ยวกับอายะห์นี้ว่า
قلنا من الذين آمنوا قال الذين آمنوا قلنا بلغنا انها نزلت في علي بن أبي طالب قال علي من الذين آمنوا
ผู้รายงานกล่าวว่า “พวกเราได้กล่าวแก่อิหม่ามบากิรว่า คำว่าบรรดาผู้ศรัทธาในอายะห์นี้คือใคร ท่านตอบว่า ก็คือบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเราถามว่า เราทราบมาว่า อายะห์นี้ถูกประทานเกี่ยวกับท่านอาลีอิบนิอบีตอลิบ ท่านตอบว่า อาลีก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ศรัทธา” (ดูตัฟซีรอัตตอบารีย์ เล่มที่ 6 หน้าที่ 288)
ขณะที่ผู้รู้ชีอะฮ์โกหกมดเท็จว่าอายะห์นี้ถูกประทานเนื่องด้วยเหตุท่านอาลี แต่ท่านอิหม่ามบากิร อิหม่ามลำดับที่ 5 ของชีอะฮ์กลับยืนยันว่า ไม่ได้หมายถึงท่านอาลีเป็นการเฉพาะแต่หมายถึงบรรดาผู้ศรัทธาทั่วไป แล้วเพราะเหตุใดเล่าที่ชีอะฮ์ถึงกล้าบิดพลิ้วต่ออิหม่ามของพวกเขาเอง แล้วคำพูดที่พวกเขาเคยประกาศอย่างหนักแน่นว่าจะตามอะฮ์ลุ้ลบัยต์นั้นเอาไปไว้ที่ไหนกันละนี่
ประการที่สอง
อุลามาอ์ชีอะฮ์กล่าวว่า “มันถูกกล่าวไว้ในบันทึกศอเฮียะห์ทั้งหก” คำว่าบันทึกทั้ง 6 คือ บันทึกของ อิหม่ามบุคคอรี, อิหม่ามมุสลิม, อบูดาวูด, ติรมีซีย์, นะซาอีย์, อิบนิมาญะห์ ซึ่งเป็นการอ้างแบบลอยๆ เพื่อตบตาผู้คนทั่วไป แต่คำอ้างนี้เป็นเท็จ เนื่องจากไม่มีฮะดีษแจ้งว่าอายะห์นี้ถูกประทานด้วยเหตุของท่านอาลีในระดับศอเฮียะห์บทใดๆ จากบันทึกทั้งหกที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะในบันทึกของท่านอิหม่ามบุคคอรีและอิหม่ามมุสลิม นอกจากตัวบทที่พวกเขาได้อ้างว่า อายะห์นี้ถูกประทานด้วยเหตุเฉพาะท่านอาลีนั้นอยู่ในสถานะ ฏออีฟ (ฮะดีษอ่อน) และเมาดัวอ์ (อะดีษเก้) ซึ่งจะนำมากล่าวในข้อถัดไป
แต่ที่น่าขำก็คือ อุลามาอ์ชีอะฮ์พยายามบอกแก่ผู้คนว่า ที่เขาอ้างนั้นมาจากบันทึกทั้งหกที่ศอเฮียะห์ด้วยคำพูดที่ว่า هو مذكور في الصحاح الستة แปลว่า มันถูกกล่าวไว้ในศอเฮียะห์ทั้งหก ซึ่งคำพูดประโยคนี้คาใจเสียจริง เพราะถ้าบันทึกทั้งหกนี้ศอเฮียะห์ ถูกต้องทั้งหมดอย่างที่อุลามาอ์ชีอะฮ์กล่าว แล้วทำไมชีอะฮ์ถึงไม่ยอมรับการรายงานที่มีอยู่ในศอเฮียะห์ทั้งหก โดยเฉพาะบทที่รายงานโดยท่านอบูฮุรอยเราะห์, ท่านหญิงอาอิชะห์, ท่านอุมัร และท่านอื่นๆ เมื่อชีอะฮ์ไม่ยอมรับการรายงานของศอฮาบะห์เหล่านี้แล้วชีอะฮ์เรียกบันทึกทั้งหกว่า ศอเฮียะห์ได้อย่างไร
หรือหากชีอะฮ์อ้างว่าบันทึกทั้งหกเป็นศอเฮียะห์ของชาวซุนนะห์ ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับอุลามาอ์ของชีอะฮ์เผยความเขลาให้ชาวโลกได้เห็น เพราะชาวซุนนะห์ได้จัดบันทึกฮะดีษเหล่านี้ไว้เป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น เศาะฮ์ฮาอ์, สุนัน, มุวัตตออาต, มุสนัด เป็นต้น ดังนั้นผู้รู้ชีอะฮ์จะต้องทบทวนวิชาฮะดีษกันใหม่ ซึ่งบันทึกทั้งหกนั้นถูกเรียกว่า ศอเฮียะห์และสุนัน ดังนี้
บันทึกของอิหม่ามบุคคอรี ถูกเรียกว่า ศอเฮียะห์ฮุ้ลบุคคอรี
บันทึกของท่านอิหม่ามมุสลิม ถูกเรียกว่า ศอเฮียะห์มุสลิม
บันทึกของท่านอบูดาวูด ถูกเรียกว่า สุนันอบีดาวู๊ด
บันทึกของท่านอิหม่ามติรมีซีย์ ถูกเรียกว่า สุนันอัตติรมีซีย์
บันทึกของท่านอิหม่ามนะซาอีย์ ถูกเรียกว่า สุนันนะซาอีย์
บันทึกของท่านอิบนุมาญะห์ ถูกเรียกว่า สุนันอิบนิมาญะห์
ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้รู้ชีอะฮ์จึงควรทบทวนความรู้เรื่องฮะดีษเสียใหม่ว่า ศอเฮียะห์ กับ สุนัน ต่างกันอย่างไร
ประการที่ 3
ข้ออ้างของชีอะฮ์ที่ว่า อายะห์นี้ถูกประทานลงมาด้วยเหตุของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ซึ่งได้บริจาคแหวนให้กับผู้ที่มาขอขณะที่ท่านกำลังละหมาดและอยู่ในท่ารุกัวอ์ แล้วชีอะฮ์ก็พยายามนำตัวบทฮะดีษที่รายงานตามที่อ้างนี้มายืนยัน โดยไม่ได้ใส่ใจว่าสถานะของฮะดีษจะถูกหรือผิดอย่างไร และไม่สนใจด้วยว่าจะค้านกับการรายงานของอิหม่ามบากิรหรือไม่ ตัวอย่างเช่น
عن محمد بن السائب الكلبي عن أبي صالح عن ابن عباس قال خرج رسول الله صلى الله عليه وسلم الي المسجد والناس يصلون بين راكع وساجد وقائم وقاعدا واذا مسكين يسأل فدخل رسول الله صلى الله عليه وسلم فقال أعطاك أحد شيئا قال نعم قال من قال ذلك الرجل القائم قال على أي حال أعطاكه قال وهو راكع قال ذلك علي بن أبي طالب قال فكبر رسول الله صلى الله عليه وسلم عند ذلك وهو يقول ومن يتول الله ورسوله والذين آمنوا فان حزب الله هم الغالبون
“รายงานจากมูฮัมหมัด อิบนุ อัซซาอิบ อัลกัลบีย์ จากอบีซอและห์ จากอิบนิอับบาสว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกมาที่มัสยิด ขณะที่บรรดาผู้คนกำลังละหมาดอยู่ บางคนอยู่ในท่ารุกัวอ์,บางคนกำลังสุญูด,บางคนกำลังยืน,และบางคนอยู่ในท่านั่ง ขณะนั้นมีคนยากจนได้มาขอบริจาคแล้วท่านรอซูลก็เข้ามาพอดี ท่านถามว่า มีใครให้อะไรแก่เจ้าบ้างไหม เขาตอบตอบว่า มีครับ ท่านถามว่า ใครเป็นผู้ให้ เขาตอบว่า ชายคนที่ยืนละหมาดอยู่นี้ ท่านถามว่า เขาให้เจ้าตอนที่เขาอยู่ในท่าไหน เขาตอบว่า ตอนเขากำลังรุกัวอ์ เขากล่าวว่า นั่นแหละคือ อาลีอิบนิอบีตอลิบ เขากล่าวต่อไปว่า ท่ารรอซูลได้อุทานว่า อัลลอฮุอั๊กบัร แล้วกล่าว (ด้วยถ้อยความจากอัลกุรอาน)ว่า และผู้ใดให้อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธาเป็นมิตรละก็ แท้จริงพรรคของอัลลอฮ์นั้นคือ พวกที่ได้ประสบชัย” (ใจความอัลกุรอานจากซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 56)
ข้างต้นนี้คือฮะดีษอุปโลกน์ ด้วยฝีมือของ “มูฮัมหมัด อิบนุ อัซซาอิบ อัลกัลบีย์ ซึ่งมีสร้อยว่า อะบูลนัดร์ เป็นชาวกูฟะห์ และเป็นที่ทราบกันดีว่าเขาคือชีอะอ์ที่เลยเถิด ท่านอิบนุฮิบบานกล่าวว่า เขาเป็นชีอะฮ์ที่ด่าประณามศอฮาบะห์ และเป็นหนึงในบรรดาผู้ที่มีความเชื่อว่า ท่านอาลียังไม่ตาย โดยจะกลับมาในดุนยานี้อีกครั้งหนึ่ง และจะทำให้ดุนยาเต็มไปด้วยความยุติธรรมแทนความอธรรมมีมีอยู่เกลื่อนกลาด และเมื่อพวกเขาเห็นเมฆเคลื่อนที่พวกเขาจะกล่าวว่า อะมีรุ้ลมุอ์มีนีน (ท่านอาลี) อยู่ในเมฆนั้น”
นอกจากนี้ มูฮัมหมัด อิบนุ อัซซาอิบ อัลกัลบีย์ ยังได้รายงานว่า “ญิบรีลมาถ่ายทอดวะฮีย์ให้แก่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ขณะท่านนบีเข้าห้องน้ำ ญิบรีลก็ถ่ายทอดวะฮีย์ให้แก่ท่านอาลีด้วย” ยิ่งไปกว่านั้นใน การรายงานของอัลกัลบีย์ผู้นี้มักจะอ้างว่าได้ยินมาจาก อบีซอและห์ จากอิบนิอับบาส แต่ปรากฏว่า อบีซอและห์ไม่เคยพบกับอิบนิอับบาสแม้สักครั้งเดียวก็ตาม ฉะนั้นจึงไม่เป็นที่สงสัยว่า บรรดานักวิชาการฮะดีษจะชี้สถานะของอัลกัลป์บีย์ผู้นี้ว่า เป็นจอมโกหก” (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่หนังสือ มีซานุ้ลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 3 หน้าที่ 556 – 559)
หรือในมุสนัดของอับดุลรอซาก ที่อ้างการรายงานจาก อับดุลวะฮาบ บิน มุญาฮิด จากพ่อของเขาว่า
عن ابن عباس في قوله انما وليكم الله ورسوله... الآية نزلت في علي بن أبي طالب
จากท่านอิบนิอับาสเกี่ยวกับอายะห์ที่ว่า “อันที่จริงผู้เป็นมิตรของพวกเจ้าคืออัลลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย” นั้นถูกประทานลงมาด้วยเหตุของท่านอาลี
ฮะดีษในบทนี้ผู้รายงานชื่อ “อับดุลวะฮาบ บิน มุญาฮิด เป็นบุคคลที่ฏออีฟ ซึ่งนักฮะดีษอวุโสหลายท่าน เช่น ท่านยะห์ยา อิบนุมุอีน,ท่านอิหม่ามอะห์หมัด, ท่านอิบนุอดีย์,ท่านอิหม่ามบุคคอรี วิจารณ์ว่า เขาอ้างในการรายงานจากพ่อของเขา แต่ความจริงนั้นเขาไม่เคยได้ยินเรื่องที่รายงานจากพ่อของเขาเลย ซึ่งการรายงานของเขาใช้อ้างเป็นหลักฐานไม่ได้” (ดูมีซานุ้ลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 2 หน้าที่ 682)
นอกเหนือจากนี้เรายังได้เห็นเล่ห์เพทุบายของชีอะฮ์ด้วยการแอบอ้างบุคคลในสายรายงานคือ จากซะอ์ละบีย์ จากอัซซุดดีย์ ซึ่งโดยปกติแล้วท่านซุดดีย์ เป็นนักวิชาการอุวโสที่นักวิชาการฮะดีษให้การยอมรับ ซึ่งผู้คนทั่วไปจะรู้จักท่านในนาม อัซซุดดีย์ อัลกะบีร แต่กลลวงของชีอะฮ์คือ อ้างสายรายงานว่าจาก อัซซุดีย์ เพื่อทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้รายงานที่เชื่อถือได้ แต่เมื่อเราได้ตรวจทานสายรายงานแล้วก็พบว่า ซุดดีย์ที่ชีอะฮ์นำมาใส่ในรายงานเพื่อตบตาผู้คนก็คือ อัซซุดดีย์ “อัศศ่อฆีร” ซึ่งเขาผู้นี้มีชื่อจริงว่า มูฮัมหมัด อิบนุ มัรวาน อัซซุดดีย์ อัลกูฟีย์ เขาเป็นจอมโกหกที่เป็นคู่หู ของ อัลกัลบีย์ ที่ได้วิจารณ์ไว้ข้างต้น (ดูมีซานุ้ลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 2 หน้าที่ 682)
บทสรุปในประเด็นนี้ก็คือ ไม่มีฮะดีษศอเฮียะห์สักบทเดียวที่จะเป็นหลักฐานตามที่ชีอะฮ์ได้อ้างว่า อายะห์นี้ถูกประทานลงมาด้วยเหตุของท่านอาลี อิบนิ อบีตอลิบ ซึ่งท่านอิบนุตัยมียะห์ได้กล่าวว่า
ويذكرون الحديث الموضوع باجماع أهل العلم وهو تصدقه بخاتمه في الصلاة
“พวกเขาเอาฮะดีษเก้มาอ้างเป็นมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการว่า ท่านอาลีบริจาคแหวนของท่านในขณะละหมาด” (มุก็อดดิมะห์ฟีอุศูลิลตัฟซีร หน้าที่ 39)
และเมื่อกล่าวถึงท่านอิบนุตัยมียะห์ แน่นอนว่าย่อมเป็นที่รังเกียจของชีอะฮ์ เนื่องจากท่านเป็นหัวหอกคนหนึ่งที่ตีแผ่ความโกหกปลิ้นปล้อนของชีอะฮ์ให้ชาวโลกได้รู้ (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาท่านด้วยเถิด)
ความจริงของเรื่องนี้น่าจะเป็นการเพียงพอด้วยคำรายงานของท่านอิหม่ามบากิรที่เสนอไว้แล้วตั้งแต่ในประการที่หนึ่ง เพราะเป็นการชี้ให้เห็นแล้วว่า ชีอะฮ์ไม่ได้ตามอิหม่ามของพวกเขาเอง แต่กลับเอาอารมณ์เป็นใหญ่ แต่ที่เราต้องคุยกันต่อก็เพื่อที่จะตีแผ่ให้ท่านได้ประจักษ์ถึงความตลบตะแลงของเหล่าชีอะฮ์ ซึ่งข้อความในซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะที่ 55 ที่พวกเขานำมาเป็นหลักฐานในการแต่งตั้งท่านอาลีให้เป็นผู้ปกครองต่อจากท่านนบีนั้น เป็นการกล่าวเท็จที่ไม่สามารถปกปิดได้
หากชีอะฮ์กล่าวว่า คำว่า วะลีย์ ในต้นอายะห์นี้ที่ว่า “อันที่จริงผู้เป็นวะลีย์ของพวกเจ้า” หมายถึงตำแหน่งผู้ปกครอง เราก็มีประเด็นให้ท่านพิจารณาว่า โดยปกติภาษาอาหรับคำ ولي โดยทั่วไปแล้วเป็นคำที่มีความหมายกว้าง แปลว่าเป็นมิตรก็ได้, ผู้ที่รักก็ได้ หรือแปลว่า เป็นผู้ปกครองก็ได้ หรือจะแปลว่า ผู้ให้การอุปถัมภ์ก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากชีอะฮ์นำไปอ้างว่าเป็นคำสั่งแต่งตั้งท่านอาลีให้เป็นผู้ปกครอง เราก็มีข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดคำสั่งแต่งตั้งเรื่องสำคัญเช่นนี้จึงใช้คำที่มีความหมายกว้างไม่รัดกุม และเพราะเหตุใดชีอะฮ์จึงเจาะจงว่า คำว่า “วะลีย์” ในอายะห์นี้หมายถึงตำแหน่งผู้ปกครอง
และถ้าหากอายะห์นี้เป็นคำสั่งแต่งตั้งจริงอย่างที่ชีอะอ์อ้าง เราก็พบว่านอกจากจะระบุตำแหน่งไม่ชัดเจนโดยใช้คำที่มีความหมายกว้างๆแล้ว ในคำสั่งแต่งตั้งยังไม่ได้ระบุชื่อท่านอาลีอีกด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วเพราะเหตุใดชีอะฮ์จึงเจาะจงว่าคือท่านอาลี
ยิ่งไปกว่านั้นในอายะห์ที่อ้างนี้ยังใช้คำในรูปพหูพจน์ด้วยคำว่า والذين آمنوا แปลว่า บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย يقيموا الصلاة แปลว่า พวกเขาดำรงไว้ซึ่งการละหมาด يؤتون الزكاة แปลว่า พวกเขาบริจาคซะกาต เมื่อแต่ละคำกล่าวมานี้เป็นคำพหูพจน์ทั้งหมด แล้วอย่างนี้จะหมายถึง ท่านอาลี เพียงผู้เดียวได้อย่างไร
ประการต่อมา คำว่า وهم راكعون แปว่า และพวกเขาเป็นผู้รุกัวอ์ ซึ่งคำว่า รุกัวอ์ ในความหมายทางภาษานั้นหมายถึง นอบน้อมถ่อมตน แต่ความหมายในทางศาสนา หมายถึงการก้มโค้งซึ่งเป็นอริยาบทหนึ่งของการละหมาด และหากชีอะฮ์จะให้ความหมายของคำนี้ที่หมายถึงการรุกัวอ์ในละหมาด และนำเอาฮะดีษอุปโลกน์ทั้งหลายมาประกอบว่าท่านอาลีบริจาคแหวนในขณะรุกัวอ์อย่างที่ชี้แจงไว้ข้างต้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นการบริจาคการบริจาคที่ดีที่สุด ก็คือการบริจาคในขณะละหมาดและในท่ารุกัวอ์ด้วยใช่หรือไม่ และการกระทำเช่นนี้ก็จะเป็นข้อบัญญัติใหม่ในศาสนา โดยเฉพาะในศาสนาชีอะฮ์ จึงถามว่า เหล่าชีอะฮ์ได้ปฏิบัติตามอิหม่ามของท่านด้วยการบริจาคในท่ารุกัวอ์ด้วยหรือเปล่า
และเมื่อเราได้ไปดูความสัมพันธ์ระหว่างอายะห์ที่ 55 กับอายะห์ก่อนและหลังจากนี้ก็จะพบว่า เรื่องราวที่มีความสืบเนื่องและเกี่ยวพันธ์กันนั้นไม่มีประเด็นตามที่ชีอะฮ์ได้กล่าวอ้างเลย เช่นอายะห์ที่ 51 เรื่อยมา พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า
يَايُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوا لاَ تَتَّخِذُوا اليَهُودَ وَالنَصَارَى أوْلِيَاءَ بَعْضُهُمْ أوْلِيَاءُ بِبَعْضٍ وَمَنْ يَتَوَلَّهُمْ مِنْكُمْ فَاِنَّهُ مِنْهُمْ اِنَّ اللهَ لا يَهْدِى القَوْمَ الظَالِمِيْنَ
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้เอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร เพราะบางคนของพวกเขาเป็นมิตรซึ่งกันและกัน และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตร เขาก็เป็นหนึ่งในหมู่นั้นด้วย แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงนำทางกลุ่มชนที่อธรรม”
ส่วนอายะห์ที่ 57 พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
يَايُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوا لاَ تَتَّخِذُوا الَّذِيْنَ اتَّخَذُوا دِيْنَكُمْ هُزُواً وَلَعِبًا مِنَ الَّذِيْنَ أوْتُوا الكِتَابَ مِنْ قَبْلِكُمْ وَالكُفَّارَ أوْلِيَاء َوَاتَّقُوا اللهَ اِنْ كُنْتُمْ مُؤْمِنِيْنَ
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้เอามาเป็นมิตร บรรดาผู้ซึ่งเอาศาสนาของพวกเจ้ามาเย้ยหยัน และล้อเล่น จากบรรดาชาวคัมภีร์ก่อนหน้าพวกเจ้าและบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา”
เราได้เห็นว่าทั้งอายะห์ก่อนหน้าและหลังจากอายะห์ที่ 55 ที่เรานำมาชี้แจงกันนี้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับการแต่งตั้งผู้ปกครองสืบต่อจากท่านนบีเหมือนอย่างที่ชีอะฮ์อ้างเลย แต่กลับมีความสัมพันธ์ในด้านการสั่งใช้และสั่งห้ามในเรื่องการผูกมิตรที่จะมีผลดีหรือมีผลเสียหายต่อศาสนาและตัวผู้ศรัทธาเช่นไร นั่นคือใจความโดยรวมจากความสืบเนื่องของอายะห์อัลกุรอาน
หากชีอะอ์จะยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยวว่า นี่แหละคือคำสั่งแต่งตั้งท่านอาลีให้เป็นผู้ปกครองสืบต่อจากท่านนบี เราก็มีคำถามว่า ท่านอาลีเข้าใจเหมือนอย่างชีอะฮ์หรือไม่ หากชีอะฮ์ตอบว่า ท่านอาลีเข้าใจเช่นเดียวกับพวกเขา เราก็ขอให้ชีอะฮ์แสดงหลักฐานที่เป็นคำยืนยันของท่านอาลี และหากชีอะฮ์ยืนยันด้วยหลักฐาน เราก็จะถามต่อไปว่า แล้วเพราะเหตุใดเมื่อมีคำสั่งแต่งตั้งแล้วท่านอาลีจึงฝ่าฝืนคำสั่งแต่งตั้งนี้ แล้วไหนละที่ชีอะฮ์บอกว่า อะห์ลุลบัยต์อยู่คู่กับอัลกุรอาน แล้วไหนละที่อิหม่ามของชีอะฮ์เป็นมะอ์ซูม (ผู้ไร้มลทิน) หรือหากชีอะฮ์ตอบว่า ท่านอาลีไม่ได้เข้าใจเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นแล้วเหล่าชีอะฮ์ไปเอาความเข้าใจเลอะเทอะอย่างนี้มาจากไหน หรืออะฮ์ลุ้ลบัยต์คนใดอธิบายอายะห์นี้ให้ชีอะฮ์เข้าใจดังว่า แต่เราได้เสนอหลักฐานมาแล้วว่าท่านอิหม่ามบากิรของชีอะฮ์ ได้อธิบายว่า อายะห์ไม่ได้ประทานลงมาด้วยเหตุท่านอาลีเป็นการเฉพาะ แต่ประทานลงมาด้วยเหตุของบรรดาผู้ศรัทธาทั้งมวล แล้วชีอะฮ์ยังจะเถียงอะฮ์ลุ้ลบัยต์ผู้เป็นอิหม่ามของท่านอยู่อีกหรือ