ค้นหา  ·  หัวข้อเรื่อง  ·  เข้าระบบ  ·  เผยแพร่เรื่อง
                      สมัครสมาชิก  

หนังสือใหม่

ผลงานล่าสุด
ของ อ.ฟารีด เฟ็นดี้


อีซีกุโบร์



พิธีกรรมยอดฮิตติดอันดับของเมืองไทย อิซีกุโบร์ พิธีกรรมเซ่นสังเวยดวงวิญญาณ วิเคราะห์เจาะลึกถึงที่มาพร้อมวิเคราะห์หลักฐาน คนกินข้าว ผีกินบุญ จริงหรือ ?

อุศ็อลลี



เหนียตและการตะลัฟฟุซแตกต่างกันอย่างไร แสดงที่มาของการกล่าวอุศ็อลลี แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

ซัยยิดินา



การเพิ่มซัยยิดินาในศอลาวาต เป็นฮะดีษศอเฮียะห์จริงหรือ แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

การยกมือตั๊กบีร
ระหว่างสองสุญูด




การยกมือตั๊กบีรระหว่างสองสุญูด เป็นซุนนะห์จริงหรือ วิเคราะห์หลักฐานที่กล่าวกันว่าท่านนบีกระทำเป็นบางครั้งจริงหรือไม่

วะบิฮัมดิฮี



หลักฐานการอ่านวะบิฮัมดิฮีในรุกัวอ์และสุญูดถูกต้องหรือ เชคอัลบานีว่าเป็นฮะดีษ ศอเฮียะห์จริงหรือไม่ พิสูจน์หลักฐานตามศาสตร์ของฮะดีษ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอ

วาญิบต้องศอลาวาต
ในตะชะฮุดแรกหรือ




ชี้แจงมุมมองของเชคอัลบานี ที่ตกทอดสู่เมืองไทย ถ้าไม่อ่านศอลาวาตในตะชะฮ์ฮุดแรกละหมาดใช้ไม่ได้ หากลืมก็ต้องสุญูดซะฮ์วี จริงหรือ อ่านวิเคราะห์หลักฐานทางวิชาการ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอง

รู้ทันชีอะฮ์



เผยกลลวงของชีอะห์ในการดึงมุสลิมออกจากอิสลาม
ตอบโต้ข้อกล่าวหา,ใส่ร้าย,ประณามศอฮาบะห์

ติดต่อและสั่งซื้อได้ที่
คุณยะอ์กู๊บ น้อยนงค์เยาว์
084 0004619


รวมวิดีโอ

>>..ดูทั้งหมด..<<


เมนูหลัก

 บริการหลัก
หน้าแรก
ถามตอบ
ติดต่อสอบถาม
แนะนำบอกต่อ
ค้นหา
แสดงสถิติ
ผลสำรวจ
ยอดฮิตติดอันดับ
 บริการสมาชิก
รายนามสมาชิก
 บริการข่าวสาร
 บริการอื่นๆ
ดาวน์โหลด
วิดีโอบรรยาย
ห้องแสดงภาพ
ฮะดีษแปลไทย


บทความรายวิชา








วิเคราะห์ข้อขัดแย้ง

  ศอฮาบะห์กางเต้นท์อ่านอัลกุรอานบนกุโบร์หรือ
  อัลกอมะห์กับแม่
  อิสลามเปลี่ยนวันใหม่ตอนมักริบไม่ใช่เที่ยงคืน
  เฝ้ากุโบร์ไม่ฮะราม..หรือ
  วิพากษ์หลักฐานเรื่องทำกุรบานให้คนตาย
  ถือศีลอดสิบวันแรกเดือนซุ้ลฮิจญะห์เป็นฮะดีษศอเฮียะห์หรือไม่
  วันที่ 9 ซุ้ลฮิจญะห์ที่ไม่มีอะรอฟะห์
  มีหลักฐานห้ามไหม
  กล่าวเท็จต่อท่านนบีว่า ท่านอ่านอัลกุรอานในกุโบร
  วิพากษ์หลักฐานการอ่านอัลกุรอานที่กุโบร์ ตอนที่ 3 คำรายงานที่ถูกต้องจากอิบนิอุมัร

[ดูเรื่องทั้งหมด]

บทความทั่วไป

  ทำบุญประเทศ
  เมื่อโลกหยุดหมุน
  ผีแม่ซื้อ
  ประเพณีการแต่งงานของมุสลิมภาคใต้
  อาซูรอ 10 มุฮัรรอม กับตำนานกวนซุฆอ
  เมาตาคือใคร
  ...ทาส... ตอนที่ 2
  ...ทาส... ตอนที่ 1
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 2
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 1

[ดูเรื่องทั้งหมด]

เหมือนหรือต่าง

ภาพเปรียบเทียบระหว่างพิธีการทรมานตนเองของชาวชีอะฮ์ อิหม่าม 12 ในวันที่ 10 มุฮัรรอมของทุกปี กับม้าทรงของศาลเจ้าสามกอง ในงานประจำปี จ.ภูเก็ต


ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง


เวบลิ้งค์

มรดกอิสลาม
อัซซุนนะห์
ซุนนะห์ไซเบอร์
ชมรมวะรอซะตุซซุนนะฮฺ แนวร่วมมุสลิมต่อต้านรอฟิเฏาะ - ร่วมต่อต้านวันนี้ หรือจะรอให้สายเกินไป



อัศฮาบีย์ ประชาชาติของฉัน




               เมื่อเราแสดงหลักฐานจากตำราของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองว่า พวกเขาเชื่อว่า บรรดาศอฮาบะห์ของท่านรอซูลตกมุรตัด สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม เหลืออยู่เพียงสามท่านก็คือ ท่านอบูซัรริน อัลฆิฟารีย์, ท่านมิกดาด บินอัลวัสวัด,ท่านซัลมาน อัลฟารีซีย์แล้ว เราก็ได้เห็นปฏิกิริยาของพวกเขาที่ออกมาปฏิเสธว่า พวกเขาไม่ได้เชื่อเช่นนั้น และหลักฐานในตำราของชีอะฮ์ที่แสดงนั้นเป็นฮะดีษฏออีฟ ซึ่งถ้อยความปฏิเสธนี้ทำให้เราแปลกใจไม่ใช่น้อย เพราะในเมื่อพวกเขาอ้างกันนักหนาว่า แนวทางลัทธิของพวกเขาใสสะอาดบริสุทธิ์เพราะนำมาจากอะฮ์ลุ้ลบัยต์  ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมถึงมีฮะดีษฏออีฟด้วยเล่า หรือว่าอะฮ์ลุ้ลบัยต์ของพวกเขามีทั้งเชื่อได้และเชื่อไม่ได้ แต่หากพวกเขาตอบว่า เหตุที่เป็นฮะดีษฏออีฟเพราะผู้รายงานคนอื่นๆ ในสายรายงานต่างหาก ถ้าเช่นนั้นคำพูดนี้ก็แย้งกับคำพูดของพวกเขาก่อนหน้านี้ที่ว่า ลัทธิของพวกเขาคือแนวทางบริสุทธิ์จากอะฮ์ลุ้ลบัยต์ เพราะมันไม่ใสบริสุทธิ์อย่างคำโฆษณาเสียแล้ว ด้วยเพราะมีบุคคลอื่นๆ ทั้งจริงและเท็จร่วมถ่ายทอดแนวทางของพวกเขาด้วยไม่ใช่อะฮ์ลุ้ลบัยต์อย่างเดียว อย่างเช่นมูฮัมหมัด ยะอ์กู๊บ อัลกุลัยนี่ย์ เจ้าของบันทึกขนานเอกของชีอะฮ์ชื่อ อัลกาฟีย์ เขาผู้นี้ก็ไม่ใช่อะฮ์ลุ้ลบัยต์ และเป็นนักโกหกตัวยงเลยทีเดียว

              
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มชีอะฮ์จะกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อตามฮะดีษฏออีฟในบันทึกของพวกเขาเอง แต่ก็เป็นคำพูดปฏิเสธแบบขอไปทีเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วพวกเขายังคงเชื่อว่า บรรดาศอฮาบะห์ของท่านนบีตกมุรตัดสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม ด้วยเพราะพวกเขายังคงเที่ยวเสาะหาฮะดีษจากตำราของซุนนะห์ เพื่อเอามารองรับความเชื่อดังกล่าวนี้และกล่าวโจมตีศอฮาบะห์ของท่านรอซูลอย่างเสียๆ หายๆ อยู่ตลอดเวลา


               พวกเขาอ้างฮะดีษจากบันทึกของชาวซุนนะห์ว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

 يَرِدُ عَلَي الحَوْضِ رِجَالٌ مِنْ أصْحَابِي فَيُحَلَّئُوْنَ عَنْهُ فَأَقُوْلُ يَارَبِّ أصْحَابِي فَيَقُوْلُ اِنَّكَ لاَ عِلْمَ لَكَ 

بِمَا أحْدَثُوا بَعْدَكَ اِنَّهُمُ ارْتَدُّوا عَلَى أدْبَارِهِمْ القَهْقَرَى  

“มีคนส่วนหนึ่งจากศอฮาบะห์ของฉัน ได้เข้ามาหาฉันที่สระน้ำ “อัลเฮาฏ์” แต่พวกเขาถูกกันออกไป ฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของฉันเอ๋ย เขาคือ อัศฮาบ ของฉัน พระองค์กล่าวว่า เจ้าไม่รู้หรอกว่า พวกเขาได้อุตริสิ่งใดไว้หลังจากเจ้า แท้จริงพวกเขาได้สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมไปแล้ว”  ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 6098  

                สำหรับผู้ทีไม่ทราบที่มาที่ไปของฮะดีษบทนี้ อาจจะคล้อยตามไปตามการอ้างของกลุ่มชีอะฮ์ ด้วยเหตุเพราะ ฮะดีษบทนี้เป็นฮะดีษศอเฮียะห์ ของท่านอิหม่ามบุคคอรี และข้อความในตัวบทฮะดีษก็ยืนยันชัดเจนว่า ศอฮาบะห์ตกมุรตัด ด้วยคำของนบีที่ว่า พวกเขาคืออัศฮาบของฉัน แต่อยากชี้แจงให้ท่านได้ทราบว่า การอ้างของชีอะฮ์คือความมดเท็จที่พวกเขาได้กระทำเป็นปกติอยู่แล้ว ด้วยเหตุดังนี้

 ประการที่หนึ่ง 

                ชีอะฮ์ได้นำเอาฮะดีษบทนี้มาจากบันทึกของอิหม่ามบุคคอรี โดยที่พวกเขาก็ไม่ได้เชื่อถือตัวของบุคคอรีหรือข้อความในบันทึกของท่าน ฉะนั้นพวกเขาจึงนำเอาเฉพาะข้อความมาอ้าง แต่ไม่ได้นำเอาความเข้าใจของท่านอิหม่ามบุคคอรี หรือความเข้าใจของชาวซุนนะห์มาอ้างอิงด้วย พวกเขาใช้วิธีขโมยตัวบทแล้วใส่ความเข้าใจที่เลอะเถอะของพวกเขาเอง แล้วยื่นความจริงปนเท็จให้แก่คนทั่วไปที่ไม่มีความรู้ โดยอ้างว่า นี่ไงหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์ ซึ่งพฤติกรรมอำพรางเช่นนี้เป็นปกติวิสัยที่ชีอะห์ช่ำชองอยู่แล้ว หากไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวมา ชีอะฮ์ก็ต้องหาหลักฐานมายืนยันว่า ท่านอิหม่ามบุคคอรีหรือบรรดานักวิชาการชาวซุนนะห์เชื่อว่า บรรดาศอฮาบะห์ของท่านนบีตกมุรตัดด้วยฮะดีษบทนี้

 ประการที่สอง  

                การอ้างว่า ศอฮาบะห์ของท่านนบีตกมุรตัดด้วยหลักฐานจากฮะดีษบทนี้ คือความเขลาของอุลามาอ์ชีอะฮ์ที่แสดงให้ชาวโลกได้เห็น เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจความหมายของคำว่า อัศฮาบ เพราะโดยทั่วไปแล้วคำนี้เป็นคำที่สื่อความหมายได้หลายประการ เช่น เพื่อน,สหาย, เจ้าของ, ผู้ที่คู่ควร,ผู้ที่เหมาะสม, ประชาชน, ผู้มีลักษณะเฉพาะ และฯลฯ ทั้งนี้โดยขึ้นอยู่กับสำนวนของประโยค หรือคำขยายความในประโยคนั้น ตัวอย่างเช่น

اِنَّ أصْحَابَ هَذِهِ الصُوَرِ يَوْمَ القِيَامَةِ يُعَذَّبُوْنَ

แท้จริงเจ้าของรูปเหล่านี้จะต้องถูกลงโทษในวันกิยามะห์” ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 1963

 فَطَلَبْتُ اِلَى أصْحَابِ الدَيْنِ أنْ يَضَعُوا بَعْضًا مِنْ دَيْنِهِ 

ฉันต้องการให้เจ้าหนี้ยกหนี้บางส่วนให้แก่เขา” ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 2229  

وَالنَّاسُ يَفِيْضُوْنَ مِنْ قَوْلِ أصْحَابِ الاِفْكِ

บรรดาผู้คนต่างก็เต็มกลืนกับคำพูดของจอมโกหก ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 4381  

قَالَ جَابِرٌ أنَا وَأبِيْ وَخَالِي مِنْ أصْحَابِ العَقَبَةِ  

ญาบิรได้กล่าวว่า ฉันและพ่อของฉันพร้อมกับน้าชายของฉันเป็นผู้ร่วมในเหตุการณ์อะกอบะห์”

ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3602

 وَأضْرِبْ لَهُمْ مَثَلاً أَصْحَابَ القَرْيَةِ 

และจงยกตัวอย่างแก่พวกเขาเกี่ยวกับชาวเมือง ซูเราะห์ยาซีน อายะห์ที่ 13

                 ข้างต้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงความหมายของคำว่า อัศฮาบ ที่สามารถสื่อได้หลายความหมาย เหมือนอย่างในอัลกุรอานก็มีคำนี้ตั้งมากมายที่มีความหมายแตกต่างกันออกไป เช่น อัศฮาบุ้ลญะมีน (ผู้ที่ได้รับบัญชีทางด้านขวา)  อัศฮาบุ้ลชีมาล (ผู้ได้รับบัญชีทางด้านซ้าย) อัศฮาบุ้ลฟีล (กองทัพช้าง)อัศฮาบุ้ลกะฮ์ฟี่ (ชาวถ้ำ) อัสฮาบุสสะอีร (สหายแห่งเปลวเพลิง) อัสฮาบุลนาร (ชาวนรก) และอัศฮาบุ้ลญันนะห์ (ชาวสวรรค์) เป็นต้น เพราะฉะนั้นการที่จะทึกทักเอาเองว่า คำว่า อัศฮาบ ในฮะดีษวิพากษ์นี้แปลว่า ศอฮาบะห์ของท่านนบี จึงเป็นความเขลาของอุลามาอ์ชีอะฮ์ ที่แสดงให้ชาวโลกประจักษ์ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ว่า ลูกหลานของท่านนบี หรือผู้กล่าวอ้างว่าตามลูกหลานท่านนบีจะไม่เข้าใจภาษาอาหรับ

            เมื่อคำว่า  อัศฮาบ สื่อความหมายได้หลายประการด้วยกัน ถ้าเช่นนั้นแล้ว คำที่ถูกระบุอยู่ในฮะดีษบทวิพากษ์นี้จะมีความหมายเช่นใด และสื่อถึงอะไร  เราลองไปดูฮะดีษบทอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเช่น

 عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ خَطَبَ النَبِيُّ صَلَى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ اِنَّكُمْ مَحْشُوْرُوْنَ اِلَى  اللهِ حُفَاةً عُرَاةً غُرْلاً * كَمَا بَدَأْنَا أوَّلَ خَلْقٍ نُعِيْدُهُ وَعْدًا عَليْنَا اِنَّا كُنَّا فَاعِلِيْنَ * ثُمَّ اِنَّ أَوَّلَ مَنْ يُكْسَ يَوْمَ القِيَامَةِ اِبْرَاهِيْمُ اَلا اِنَّهُ يُجَاءُ بِرِجَالٍ مِنْ أُمَّتِيْ فَيُؤْخَذُ بِهِمْ ذَاتَ الشِّمَالِ فَأَقُوْلُ يَارَبِّ أصْحَابِي فَيُقَالُ لاَ تَدْرِي مَاأحْدَثُوا بَعْدَكَ فَأَقُوْلُ كَمَا قَالَ العَبْدُ الصَالِحُ* وَكُنْتُ عَليْهِمْ شَهِيْداً مَا دُمْتُ فِيْهِمْ* اِلَى قَوْلِهِ * شَهِيْدٌ* فَيُقَالُ اِنَّ هَؤلاءِ لَمْ يَزَالُوا مُرْتَدِّيْنَ عَلَى أعْقَابِهِمْ مُنْذُ فَارَقْتَهُمْ 

อิบนิอับบาส รอดิยัลลอฮุอันฮุมา รายงานว่า ท่านนบีได้ปาฐกถาโดยกล่าวว่า พวกเจ้าทั้งหลายจะถูกนำมารวมเพื่อพิพากษา ณ.ที่อัลลอฮ์ ในสภาพเท้าเปล่า,เปลือยร่างและยังไม่ได้ขลิบ  ( ดั่งที่เราได้ให้บังเกิดขึ้นในการสร้างครั้งแรก และเราได้กลับมาอีกครั้ง เป็นสัญญาที่มีต่อเรา แท้จริงเราเป็นผู้กระทำอย่างแน่นอน ) ต่อมาผู้แรกที่จะได้สวมใส่อาภรณ์ในวันกิยามะห์คือท่านนบีอิบรอฮีม หลังจากนั้นจะมีคนกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉัน พวกเขาจะถูกนำมาทางด้านซ้าย ฉันกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของฉัน พวกเขาคือประชาติของฉัน แต่ก็มีเสียงกล่าวว่า เจ้าไม่รู้หรอกว่า พวกเขาได้อุตริอันใดหลังจากเจ้า ฉันได้กล่าวเช่นเดียวกับอีซาได้กล่าวว่า (ฉันเป็นพยานยืนยันให้แก่พวกเขาขณะที่ฉันอยู่กับพวกเขาเท่านั้น ) จนสุดอายะห์ที่คำว่า ( พระองค์ทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง) แล้วก็มีเสียงกล่าวว่า แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมตั้งแต่เจ้าจากพวกเขามา” ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 4371

                ฮะดีษบทนี้ได้บอกความหมายคำว่า “อัศฮาบีย์” และขยายความอยู่ในตัวด้วยคำว่า  أُمَّتِي   แปลว่าประชาชาติของฉัน เพราะฉะนั้นคำว่า อัศฮาบีย์ ในฮะดีษวิพากษ์นี้จึงมีความหมายว่า อุมมะตี  คืออุมมะห์ของท่านนบีทั้งหมดตราบจนกิยามะห์ โดยมิได้หมายถึงเฉพาะบรรดาศอฮาบะห์ของท่านนบีตามที่ชีอะฮ์ได้กล่าวอ้าง  อย่างนี้คือวิธีการอธิบายฮะดีษด้วยฮะดีษที่อุลามาอ์ชีอะฮ์ไม่เข้าใจ

ประการที่สาม 

                ฮะดีษบทนี้กล่าวถึงสภาพเหตุการณ์ในวันกิยามะห์ ที่มนุษย์ทุกคนจะถูกบังเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยประชาติของนบีแต่ละท่านก็จะถูกนำมาพร้อมกับนบีของเขา ส่วน”อุมมะห์”ประชาติของท่านนบีมูฮัมหมัดทั้งหมด ตั้งแต่ยุคก่อนพวกเรา และพวกเรารวมถึงคนในยุคต่อจากเราด้วย จะมุ่งตรงไปที่สระน้ำ “อัลเฮาฏ์” โดยท่านนบีของพวกเราจะรอคอยพวกเราอยู่ที่นั่น ตามตัวบทฮะดีษที่ได้นำเสนอมาข้างต้น

ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า

 يُنَادِي مُنَادٍ لِيَذْهَب كُلُّ قَوْمٍ اِلَى مَاكَانُوا يَعْبُدُونَ فَيَذْهَبُ أَصْحَابُ الصَلِيْبِ  مَعَ صَلِيْبِهِمْ وَأصْحَابُ الأوْثَانِ مَعَ أوْثَانِهِمْ وَأصْحَابُ كُلِّ آلِهَةٍ مَعَ آلِهَتِهِمْ 

    วันนั้นจะมีผู้ประกาศให้กลุ่มชนแต่ละกลุ่มมาพร้อมกับสิ่งที่พวกเขาสักการะ กลุ่มไม้กางเขนก็จะมากับไม้กางเขนของพวกเขา, กลุ่มเจว็ดก็จะมากับเจว็ดของพวกเขา และทุกกลุ่มที่สักการะพระเจ้าอื่นก็จะมาพร้อมกับพระเจ้าของพวกเขา” ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 6886

                ในฮีษบทบทนี้ใช้คำว่า อัศฮาบ หมายถึงกลุ่มชนทุกยุคทุกสมัยที่สักการะสิ่งใดก็จะไปปรากฏในวันกิยามะห์พร้อมกับสิ่งที่พวกเขาสักการะ  แต่ปัญหาก็คือลัทธิบูชาคนอย่างชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง เขาจะไปปรากฏในวันกิยามะห์พร้อมกับผู้ใด

               จะบอกว่าพวกเขาไปพร้อมกับท่านนบี ก็ไม่ใช่...เพราะพวกเขาไม่ได้ถือตามสิ่งที่ท่านนบีสอน ทั้งเรื่องอะกีดะห์และหลักปฏิบัติ

               จะบอกว่าพวกเขาไปพร้อมกับอะฮ์ลุ้ลบัยต์ก็ไม่ใช่ เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อและปฏิบัติตามอะฮ์ลุ้ลบัยต์  พวกเขาเอาอะฮ์ลุ้ลบัยต์เป็นฉากกำบังตนเท่านั้น

หรือพวกเขาจะเป็นกลุ่มชนที่ถูกกันออกไปจากสระ “อัลเฏาฮ์” โดยมีเสียงกล่าวว่า

               “โอ้มูฮัมหมัด เจ้าไม่รู้หรอกว่า พวกเขาอุตริสิ่งใด หลังจากท่าน”

               “โอ้มูฮัมหมัด เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาตกมุรตัดไปแล้ว”

                              









สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2007-02-20 (6591 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]