ขณะที่ลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสองพยายามทำลายความน่าเชื่อถือตัวบทหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้รายงานในระดับศอฮาบะห์ เช่นท่านอบูฮุรอยเราะห์ หรือผู้บันทึกเช่น อิหม่ามบุคคอรี และท่านอื่นๆ แต่ในอีกมุมหนึ่ง พวกเขาก็หยิบเอาตัวบทคำรายงานของบุคคลเหล่านั้นมาอ้างอิงเสมือนว่า พวกเขาให้ความเชื่อถือและไม่เคยประณาม จาบจ้วงล่วงเกินต่อบรรดาผู้รายงานหรือผู้บันทึกเหล่านั้นเลย
โดยเฉพาะฮะดีษบทใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ตามอุดมการณ์ของลัทธิชีอะห์ พวกเขาก็จะไม่ละเลยที่จะนำมาบิดเบือน อธิบายความให้สอดคล้องกับลัทธิของตนเอง ดังเช่นฮะดีษที่ท่านนบีได้พูดถึงคอลีฟะห์สืบจำนวนสิบสองคน ซึ่งลัทธิชีอะห์ได้ฉกฉวยเอาฮะดีษบทนี้มาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องอิหม่ามสิบสองของพวกเขาอย่างไร้ยางอาย ทั้งที่พวกเขาประณามตัวผู้รายงานว่าตกมุรตัดหลังจากท่านนบีสิ้นชีวิต แต่ก่อนที่เราจะพิสูจน์ความโกหกปลิ้นปล้อนของเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองในเรื่องนี้ เราไปดูเนื้อหาและความหมายของตัวบทฮะดีษนี้กันก่อน
ผู้รายงานในระดับศอฮาบะห์คือ ท่านญาบิร บิน ซะมุเราะห์ พ่อลูกคู่นี้ (ญาบิรและซะมุเราะห์) เป็นศอฮาบะห์ของท่านรอซูลทั้งคู่ ทั้งสองรายงานว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
لا يَزَالَ الإسْلامُ عَزِيْزًا اِلَى إثنَى عَشَرَ خَلِيْفَةً ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً لَمْ أفْهَمْهَا فَقُلْتُ لأَبِي مَا قَالَ فَقَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
“อัลอิสลามจะยังคงรุ่งเรืองจนกระทั่งถึงสิบสองคอลีฟะห์ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถ้อยคำที่ฉันฟังไม่เข้าใจ ฉันได้จึงได้ถามพ่อของฉัน (ซะมุเราะห์) ว่าท่านนบีกล่าวว่าอย่างไร เขาตอบว่า (ท่านนบีกล่าวว่า) พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุรอยช์” บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3395
อีกบทหนึ่งเป็นฮะดีษที่ศอฮาบะห์สองพ่อลูกคู่นี้รายงานไว้เช่นเดียวกัน แต่มีข้อความต่างจากบทแรกเล็กน้อยคือ
لا يَزَالُ الدِيْنُ قَائِمًا حَتَّى تَقُوْمَ السَاعَةُ أوْ يَكُوْنَ عَليْكُمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيْفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ“
ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุรอยช์” บันทึกโดยอิหม่ามสุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3398
ฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่หลายบันทึก มีทั้งสายรายงานที่ศอเฮียะห์ และฏออีฟ แต่ที่เรานำมาแสดงให้เห็นนี้เป็นสำนวนคำรายงานจากบันทึกของอิหม่ามุสลิม ซึ่งแน่นอนว่า ชาวซุนนะห์มิได้สงสัยในสถานภาพของฮะดีษนี้ แต่สิ่งที่จะต้องนำมากล่าวกันก็คือ ความเข้าใจในวัตถุประสงค์และเป้าหมายของฮะดีษเป็นหลักว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากเหล่าชีอะห์มักจะหยิบยกฮะดีษในบทนี้ไปแอบอ้างแก่บรรดาผู้คนว่า ท่านนบีได้กล่าวถึงอิหม่ามจำนวนสิบสองคนของพวกเขาไว้แล้ว และมีบันทึกอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์ด้วย ดังนั้นเพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอาหรับได้เข้าใจถึงความหมายและเป้าหมายของฮะดีษอย่างถูกต้อง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธินอกรีตชีอะห์อิหม่ามสิบสอง เราจึงต้องนำเอาความเข้าใจของฮะดีษบทนี้มาชี้แจง
แต่ก่อนที่จะได้สาธยายในรายละเอียดนั้น เราตั้งข้อสังเกตให้ท่านพิจารณาก่อนว่า เพราะเหตุใดลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสอง จึงได้นำเอาหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์มาเสนอ ทำไม่พวกเขาไม่แสดงหลักฐานในเรื่องนี้จากตำราของพวกเขาแก่บรรดาผู้คน หรือว่าสิ่งที่พวกเขาอ้างกันนั้นไม่มีอยู่ในสาระบบหรือตำราของลัทธิชีอะห์ สิ่งที่พวกเขาได้ทำให้เห็นนี้เป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง นั่นคือพวกเขาได้ขโมย ตัวบทหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์ แล้วนำไปแอบอ้างกับบรรดาผู้คน ด้วยวิธีการอันสกปรกคือ เอาตัวบทที่ถูกต้องมาแล้วเอาคำอธิบายของพวกเขามาสวมแทนเพื่อให้บรรลุถึงอุดมการณ์ของพวกเขา จนทำให้ผู้ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับคำเชิญชวนนั้น ทั้งที่เหล่าชีอะห์เองก็ไม่ได้ยอมรับในสายรายงาน หรือตัวผู้รายงาน และผู้บันทึก ตัวอย่างเช่นขณะที่พวกเขาด่าประณามอบูฮุรอยเราะห์ แต่พวกเขาก็เอาคำรายงานของอบูฮุรอยเราะห์มานำเสนอแก่ผู้คน หรือพวกเขาด่าประณามท่านหญิงอาอิชะห์ แต่พวกเขาก็นำเอาคำรายงานของท่านหญิงอาอิชะห์มาอ้างเป็นหลักฐาน และในขณะที่พวกเขาให้ข้อหาบรรดาศอฮาบะห์ว่าตกมุรตัดแต่พวกเขาก็ยังนำคำรายงานของบรรดาผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นกาเฟรมาอ้างอิง ซึ่งคนโดยปกติทั่วไปไม่สามารถกระทำการเยี่ยงนี้ได้นอกจากผู้ที่มีหัวใจโสมมเท่านั้น
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะนำคำรายงานจากบุคคลที่พวกเขาด่าประณามกันอยู่มาอ้างเท่านั้น พวกเขายังทำการบิดเบือนถ้อยคำและเป้าหมายของคำรายงานอีกด้วย โดยพวกเขาไม่ได้นำเอาความเข้าใจหรือคำอธิบายของผู้รายงานหรือผู้บันทึกมาอ้างอิงด้วย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ บางครั้งพวกเขาก็นำเสนอตัวบทแบบตัดตอนเพื่อตบตาบรรดาผู้คน ซึ่งวิธีพิสดารที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ชาวชีอะห์อาจจะถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเราแล้วถือว่าเป็นการโจรกรรม ซึ่งข้อความที่เรากล่าวมาจะได้พิสูจน์ให้ท่านได้ประจักษ์ดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง
การที่เหล่าชีอะห์อ้างฮะดีษสิบสองคอลีฟะห์เพื่อเป็นหลักฐานในเรื่องสิบสองอิหม่ามของพวกเขานั้น เป็นการนำตัวบทมาครอบผิดเรื่อง เพราะในตัวบทฮะดีษ ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า คอลีฟะห์ ชัดเจน ซึ่งท่านมิได้กล่าวด้วยคำว่า อิหม่าม เพราะเหตุที่คำทั้งสองนี้มีความหมายจำกัดและคลอบคลุมต่างกัน และเราขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีฮะดีษในเรื่องนี้สักบทเดียวที่ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า อิหม่าม หรือกล่าวถึง อิหม่ามสิบสองของเหล่าชีอะห์ ไม่มีเลยจริงๆ แม้กระทั่งท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ซึ่งเหล่าชีอะห์ยกให้เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขา หรือท่านฮะซัน และฮุเซน ซึ่งเป็นอิหม่ามลำดับที่สองและสามของพวกเขา ก็ไม่เคยอ้างฮะดีษในบทนี้เพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นอิหม่ามของตัวท่านและอิหม่ามหลังจากท่านจนครบสิบสองคนดั่งที่เหล่าชีอะห์ได้แอบอ้างกัน
ประการที่สอง
ขณะที่เหล่าชีอะห์ไม่สามารถเปลี่ยนถ้อยคำในบันทึกจากคำว่า คอลีฟะห์ ให้เป็นคำว่า อิหม่ามได้ดั่งต้องการ พวกเขาจึงใช้วิธีการชักลากอธิบายความว่า คำว่า ค่อลีฟะห์ กับคำว่า อิหม่าม มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งคำพูดเช่นนี้ถ้ากล่าวแก่ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอาหรับก็คงได้ผล แต่สำหรับคนที่พอมีพื้นฐานภาษาอาหรับอยู่บ้างก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า คำทั้งสองนี้มีความหมายที่ครอบคลุมต่างกัน และเราไม่อยากจะเชื่อว่า ชีอะห์ผู้อ้างตนว่าเป็นลูกหลานนบี หรือผู้ถ่ายทอดความรู้จากลูกหลานนบีจะไม่เข้าใจภาษาอาหรับขั้นพื้นฐาน จนกระทั่งไม่สามารถแยกความหมายของคำทั้งสองนี้ได้ หรือว่าพวกเขาเข้าใจแต่สร้างความคลุมเครือเพื่อหลอกลวงผู้อื่นเท่านั้น
คำว่า อิหม่าม เป็นคำเอกพจน์ ระบุถึงบุคคลจำนวน 1 คน มีความหมายในทางภาษาว่า ผู้นำของกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด หรือหมายถึง ผู้นำพา,สิ่งนำพา ก็ได้ แต่ถ้ามีจำนวน 3 คนขึ้นไปจะใช้คำที่อยู่ในรูปของพหูพจน์ว่า อะอิมมะห์ หมายถึงบรรดาผู้นำของแต่ละกลุ่มชน
คำว่า ผู้นำของกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดเป็นการเฉพาะนั้น ดั่งเช่นท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุลัยฮิวะซัลลัม อยู่ในฐานะของ อิมามุลมุรซะลีน คืออิหม่ามของบรรดารอซูล อย่างนี้เป็นต้น นอกจากนี้คนแต่ละกลุ่มต่างก็มีผู้นำของกลุ่มดั่งเช่น พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
يَوْمَ نَدْعُو كُلَّ أُنَاسٍ بِإمَامِهِمْ
“วันที่เราจะเรียกมนุษย์ทุกหมู่เหล่ามาพร้อมกับอิหม่ามของพวกเขา” อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 71
คำว่าอิหม่ามในอายะห์ข้างต้นนี้หมายถึงผู้นำพาหรือสิ่งนำพาหรือผลงานของมนุษย์ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ในดุนยา ซึ่งมนุษย์ทุกหมู่เหล่าก็จะมีผู้นำหรือสิ่งนำพาที่แตกต่างกันไป ดังนั้นใครเชื่อใคร,ใครสวามิภักดิ์ต่อผู้ใดหรือสิ่งใดหรือมีผลงานเช่นใด เขาผู้นั้นหรือสิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นอิหม่ามนำพาพวกเขามาพบกับอัลลอฮ์ในวันกิยามะห์ ซึ่งในบรรดาอิหม่ามเหล่านี้ มีทั้งที่นำพาผู้คนไปในทางที่ดี,ไปสู่ทางนำ หรืออาจจะเป็นอิหม่ามที่นำพาผู้คนไปสู่ทางหลงหรือนำไปสู่นรกก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงกล่าวว่า
وَجَعَلْنَا مِنْهُمْ أَئِمَّةً يَهْدُوْنَ بِأمْرِنَا
“และเราได้ให้มีบรรดาผู้นำในหมู่พวกเขาเพื่อชี้แนะทางนำตามบัญชาของเรา” ซูเราะห์อัสซะญะดะห์ อายะห์ที่ 24
وَجَعَلْنَاهُمْ أَئِمَّةً يَدْعُوْنَ اِلَى النَارِ
“และเราได้ให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำที่เรียกร้องสู่ไฟนรก” ซูเราะห์อัลก่อศ๊อศ อายะห์ที่ 41قَاتِلُوا أَئِمَّةَ الكُفْرِ“พวกเจ้าจงต่อสู่กับบรรดาผู้นำที่ฏิเสธการศรัทธา” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ 12
คนบ้านเราพอพูดถึงคำว่า อิหม่ามก็จะเข้าใจโดยทันทีว่า หมายถึง ผู้นำละหมาดตามมัสยิดต่างๆ ในแต่ละชุมชนซึ่งมีจำนวนมากมาย แต่ในภาษาอาหรับไม่ได้ขีดกรอบความหมายเฉพาะว่า ต้องเป็นอิหม่ามประจำมัสยิดเท่านั้น แต่อาจจะหมายถึง ผู้นำทัพ หรือหัวหน้าหน่วยงาน,กรมกองต่างๆ และหมายถึงผู้ที่เดินนำหน้าคนอื่นๆ หรือผู้นำในการเดินทางก็ได้
ส่วนคำว่า คอลีฟะห์ เป็นคำเอกพจน์ มีความหมายว่า ตัวแทน หรือ ผู้สืบทอด อยู่ในรูปของพหูพจน์ว่า คุละฟาอ์ หมายถึงบรรดาตัวแทนหรือบรรดาผู้สืบทอด
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
إنَّي جَاعِلٌ فِى الأرْضِ خَلِيْفَة
“แท้จริงข้าจะให้มีผู้ตัวแทนคนหนึ่งในโลกนี้” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ 30
อายะห์นี้แสดงถึงการให้นบีอาดำเป็นตัวแทนของอัลลอฮ์บนโลกใบนี้
واذكروا إذ جعلكم خلفاء من بعد قوم نوح
“และจงทบทวนดู ขณะที่พระองค์ได้ทรงทำให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนต่อจากกลุ่มชนของนัวฮ์” ซูเราะห์อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่ 69
อายะห์นี้กล่าวถึงกลุ่มชนที่มาแทนที่กลุ่มชนของท่านนบีนัวฮ์ ไม่ใช่กลุ่มชนที่จะมาเป็นผู้นำกลุมชนของนบีนัวฮ์
ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
عَليْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الخُلَفَاءِ الرَاشِدِيْنَ المَهْدِييْنَ
“จำเป็นต่อพวกท่านทั้งหลายจะต้องยึดเอาซุนนะห์ของฉันและซุนนะห์ของบรรดาผู้สืบแทนจากฉันที่ปราชญ์ เปรื่องและได้รับทางนำ” สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 2006
ฮะดีษนี้กล่าวถึงผู้สืบแทนต่อจากท่านนบี ไม่ใช่หมายถึงผู้เป็นอิหม่ามของท่านนบี
จากอายะห์อัลกุรอานและฮะดีษที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นถึงสภาพของตัวแทนหรือผู้สืบแทน ที่มีความหมายแตกต่างกับคำว่า ผู้นำ หรือสิ่งนำพา อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเราสามารถเห็นสภาพข้อเท็จจริงของคำทั้งสองนี้โดยตั้งเป็นคำถามว่า
ผู้นำของกลุ่มใด และจะนำพาไปไหน
ตัวแทนของใคร แทนด้วยเรื่องอะไร
ผู้มีปัญญาย่อมทราบดีว่าคำว่า ผู้นำและผู้แทนนั้นมีความหมายแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ฮะดีษข้างต้นนี้ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า คอลีฟะห์ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้แทน แต่จะหมายถึงผู้แทนของใครและแทนด้วยเรื่องอะไร เราคงนำรายละเอียดมาชี้แจงในประเด็นต่อไป
แต่ที่กล่าวมาแล้วทำให้เราได้เห็นพฤติกรรมของเหล่าชีอะห์ ที่ฉกฉวยเอาคำว่า คอลีฟะห์ไปสวมแทนคำว่า อิหม่าม แล้วตบตาหลอกลวงแก่ผู้ไม่เข้าใจภาษาอาหรับว่า ท่านนบีได้กล่าวถึงอิหม่ามสิบสองของพวกเขาซึ่งถูกระบุอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์ด้วย ทั้งที่ไม่มีตัวบทหลักฐานระบุถึงอิหม่ามสิบสองของพวกเขาเลย
ประการที่สาม
ท่านนบีได้แจ้งลักษณะของคอลีฟะห์สิบสองคนที่ท่านกล่าวถึงในคำรายงานของฮะดีษศอเฮียะห์อีกบทหนึ่งว่า จะต้องเป็นผู้นำแห่งประชาชาติอิสลามทั้งมวลดังนี้
لاَ يَزَالُ هَذاَ الدِيْنُ قَائِمًا حَتَّى يَكُوْنَ عَليْكُمْ اِثْنَا عَشَرَ خَلِيْفَةً كُلُّهُمْ تَجْتَمِعُ عَليْهِ الأُمَّةُ
“ศาสนานี้จะดำรงอยู่จนกว่าจะมีคอลีฟะห์สิบสองคนมายังพวกเจ้า โดยประชาชาติ (อิสลาม) ทั้งหมดจะอยู่ใต้การปกครองของพวกเขา” สุนันอบีดาวูด ฮะดีษเลขที่ 3731
แม้เหล่าชีอะห์จะพยายามทำให้สิบสองอิหม่ามของพวกเขา เป็นสิบสองคอลีฟะห์ที่ท่านนบีได้กล่าวไว้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า บรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของพวกเขาได้ปกครองรัฐ หรืออณาจักรอิสลามเต็มรูปแบบ และเป็นจุดศูนย์รวมของประชาชาติอิสลามทั้งมวลตามที่ระบุในฮะดีษบทนี้ ไม่ใช่อิหม่ามทั้งสิบสองคนที่เหล่าชีอะห์อุปโลกน์ขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ประการที่สี่
ฮะดีษบทนี้ท่านนบีได้แจ้งไว้กว้างๆ โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาตายตัว ซึ่งตามคำรายงานว่า “ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า” แต่ขณะที่ฮะดีษศอเฮียะห์อีกบทหนึ่งได้ขีดกรอบเวลาไว้ชัดเจนว่า
خِلافَةُ النُبُوَّةِ ثَلاثُوْنَ سَنَةً ثُمَّ يُؤْتِي اللهُ المُلْكَ أوْمُلْكَهُ مِنْ يَشَاءُ
“การสืบแทนนบีจะมีระยะเวลาสามสิบปีหลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮ์จะให้สิทธิของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์” สุนันอบีดาวู๊ด ฮะดีษเลขที่ 4028,4029
ขอให้ท่านได้พิจารณาพฤติกรรมของเหล่าชีอะห์ว่า พวกเขาจะทำการโจรกรรมฮะดีษจากบันทึกของชาวซุนนะห์ที่พวกเขาสามารถนำมาบิดเบือนให้เป็นประโยชน์กับลัทธิของตนเองเท่านั้น หากมิใช่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องรับเอาฮะดีษที่ขีดกรอบระยะเวลานี้ไว้ด้วย แต่พวกเขาก็ปฏิเสธเนื่องจากระยะเวลา 30 ปีที่ท่านรอซูลได้ขีดกรอบไว้นี้ไม่เอื้ออำนวยต่อระยะเวลาของบุคคลที่พวกเขานำมาอ้างว่าเป็นอิหม่ามของพวกเขาทั้งสิบสองคน แต่ถ้าพวกเขาจะแย้งว่า ฮะดีษทั้งสองบทนี้ขัดกัน เราก็มีคำถามว่า ในเมื่อฮะดีษทั้งสองบทนี้ศอเฮียะห์ทั้งคู่ แล้วเพราะเหตุใดเหล่าชีอะห์จึงทิ้งบทหนึ่งและนำมาอ้างอีกบทหนึ่งเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้เชื่อฮะดีษทั้งสองบทนี้ เพียงแต่ฉกฉวยนำมาล่อลวงผู้ไม่รู้ให้คล้อยตามเท่านั้นเอง เพราะโดยเนื้อหาของฮะดีษทั้งสองบทข้างต้นนี้ไม่ขัดแย้งกันแต่อย่างใด เนื่องจากฮะดีษบทหนึ่งระบุเรื่องจำนวน และฮะดีษอีกบทหนึ่งระบุเรื่องเวลา, อีกทั้งฮะดีษบทหนึ่งพูดถึงคอลีฟะห์โดยรวม แต่ฮะดีษอีกบทหนึ่งพูดถึงเฉพาะคิลาฟะตุ้ลนุบูวะห์ (ผู้สืบแทนนบี) ภายในระยะเวลา 30 ปี ซึ่งแน่นอนว่า ประเด็นหลังนี้ไม่ได้หมายถึงสิบสองอิหม่ามของชีอะห์อย่างแน่นอน เนื่องจากท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ที่พวกเขาอุปโลกน์ให้เป็นอิหม่ามคนที่หนึ่งของพวกเขานั้นกว่าจะได้ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ผู้สืบแทนนบีจริงๆ ก็กินระยะเวลาหลังจากท่านนบีเสียชีวิตไปแล้วมากกว่ายี่สิบปี แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรกับบรรดาอิหม่ามที่เหลืออีกตั้งโขยงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า เกินกว่าระยะเวลาที่ท่านรอซูลได้กำหนดไว้มาก ซึ่งถ้าจะนับกันจนถึงขณะนี้ก็ 1,400 กว่าปีแล้วที่อิหม่ามลำดับที่ 12 ของพวกเขายังไม่ยอมโผล่ออกจากหลุมเสียที ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นต้องปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์ที่ท่านนบีได้ขีดกรอบเวลาไว้นี้ และเมื่อพวกเขาปฏิเสธฮะดีษเรื่องระยะเวลาของคิลาฟะห์นุบูวะห์ (การสืบแทนนบี) ก็เท่ากับพวกเขาปฏิเสธการเป็นผู้สืบแทนนบีของบรรดาอิหม่ามของพวกเขาเอง
แต่หากท่านจะถามว่า 30 ปีของการดำรงตำแหน่ง คิลาฟะห์นุบูวะห์ (ผู้สืบแทนนบี) นั้นมีท่านใดบ้าง เราให้ท่านได้เห็นคำรายงานต่อไปนี้
อิบนุอบีมุลัยกะห์ รายงานว่า
قِيْلَ لأبِي بَكْرٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ يَا خَلِيْفَةَ اللهِ فَقَالَ أنَا خَلِيْفَةُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ
“มีผู้เรียกท่านอบูบักร์ว่า โอ้คอลีฟะห์ของอัลลอฮ์เอ๋ย ท่านกล่าวว่า ฉันคือคอลีฟะห์ของท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 56
คำรายงานข้างต้นนี้เป็นการยืนยันว่า หลังจากท่านนบีจากไป ท่านอบูบักร์ก็ทำหน้าที่เป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านนบี ดังนั้นเมื่อเราเริ่มนับหลังจากการที่ท่านนบีเสียชีวิตแล้ว และเป็นช่วงการปกครองของบรรดาคอลีฟะห์ซึ่งเรียงลำดับได้ดังนี้
1 – ท่านอบูบักร์ อัศศิดดีก
2 – ท่านอุมัร อิบนุ้ลค็อตต๊อบ
3 – ท่านอุสมาน บินอัฟฟาน
4 – ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ
ทั้งสี่ท่านนี้ดำรงตำแหน่งรวมระยะเวลาได้ 29 ปี 6 เดือน
5 – ท่านฮะซัน บินอาลี ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์เป็นระยะเวลา 6 เดือนก่อนจะประกาศสละตำแหน่ง รวมระยะเวลาทั้ง 5 ท่านที่ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ 30 ปีตามที่ท่านนบีได้กล่าวไว้พอดี ซึ่งแน่นอนว่า การนับเรียงลำดับดั่งข้างต้นนี้เหล่าชีอะห์ย่อมไม่สบายใจ แต่เรายืนยันว่า ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบเองเป็นผู้ยืนยันความถูกต้องในเรื่องนี้ด้วยตัวท่านเอง และจากตำราของชีอะห์เอง ซึ่งเราจะได้นำเอาคำของท่านอาลีมาให้เป็นที่ประจักษ์ในประเด็นถัดไป
ประการที่ห้า
หากจะกล่าวถึงคอลีฟะห์จำนวนสิบสองคนที่เหล่าชีอะห์นำมาสวมแทนตำแหน่งอิหม่ามของพวกเขา แล้วอ้างว่าเป็นเรื่องเดียวกันนั้น เราขอกล่าวอย่างเต็มปากว่า เหล่าชีอะห์โกหกและกำลังหลอกลวงชาวโลก เพราะสิบสองอิหม่ามที่พวกเขานับ กับสิบสองคอลีฟะห์ที่ท่านอาลีนับ เป็นคนละเรื่องกันเลย ซึ่งเราจะให้ท่านได้เห็นความบิดพลิ้วของพวกเขาที่มีต่อท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ อิหม่ามของพวกเขาเอง และจากตำราของพวกเขาเอง ซึ่งก่อนที่ท่านจะได้พบกับคำยืนยันของท่านอาลี เราแจ้งให้ท่านทราบถึงสิบสองอิหม่ามตามที่เหล่าชีอะห์ได้นับกันก่อน โดยไล่เรียงตามลำดับดังนี้
1 – อาลี อิบนิอบีตอลิบ
2 – ฮะซัน บินอาลี อิบนิอบีตอลิบ
3 – ฮุเซน บินอาลี อิบนิอบีตอลิบ
4 – อาลี บินฮุเซน (ซัยนุ้ลอาบีดีน)
5 – มูฮัมหมัด บินอาลี (มูฮัมหมัด บากิร)
6 – ญะอ์ฟัร อัศศอดิก
7 – มูซา กาเซ็ม บุตรของญะอ์ฟัร อัศศอดิก
8 – อาลี ริฏอ บุตรของมูซา กาเซ็ม
9 – มูฮัมหมัดตะกีย์ บุตรของอาลี
10 – อาลี นะกีย์ บุตรของมูฮัมหมัด
11 – ฮะซันอัสอัสกะรีย์
12 – อิหม่ามลำดับที่ 12 นี้เหล่าชีอะห์ยังขัดแย้งกันเอง และแยกเป็นสองก๊ก กลุ่มหนึ่งได้ยึดเอาน้องชายของฮะซันอัลอัสการีย์ มีชื่อว่า ญะฟัรเป็นอิหม่าม เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่า ท่านฮะซันอัลอัสกะรีย์ ไม่มีบุตร เพราะเมื่อท่านฮะซันเสียชีวิตนั้น น้องชายและแม่ของท่านเป็นผู้รับมรดก แต่ชีอะห์อีกกลุ่มหนึ่งได้อุปโลกน์เด็กชายผู้หนึ่งขึ้นมาแล้วให้ชื่อว่า มะฮ์ดีย์ โดยพวกเขาอ้างว่าเป็นบุตรของท่านฮะซันที่เกิดกับภรรยาลับ ซึ่งแม้แต่ชื่อและประวัติของแม่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็ยังเป็นปริศนา และในตำราของพวกเขาก็บรรยายกันไปคนละทาง
แต่เราแจ้งให้ท่านได้ทราบว่า เหล่าชีอะห์ได้ทึกทักเอาท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขา โดยท่านอาลีเองก็มิได้ยอมรับหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุปโลกน์ของพวกเขาแต่อย่างใด และที่เรากล่าวว่าท่านอาลีไม่ได้นับเอาตัวท่านเองเป็นลำดับที่หนึ่ง แต่ท่านกลับนับเอาท่านอบูบักร์และท่านอุมัร เป็นคอลีฟะห์ต่อจากท่านนบีนั้น ก็ไม่ใช่คำพูดที่เราปั้นแต่งขึ้น แต่เป็นคำพูดของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ และจากตำราของเหล่าชีอะห์เองดังนี้
จากหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะห์ ซึ่งเป็นตำราขนาดเอกของเหล่าชีอะห์ ที่รวมไว้ด้วยสุนทรโรวาทและจดหมายเหตุของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ และเป็นตำราที่ชาวชีอะฮ์ยกย่องเทิดทูน ได้บันทึกคำพูดของท่านอาลีไว้ดังนี้
แท้จริง อัลลอฮ์ได้แต่งตั้งนบีมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ และทำให้ท่านเป็นกลไกในการชักนำประชาชนให้ผละออกจากหนทางแห่งความชั่วและความต่ำทราม เพื่อจะได้ปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษในอาคิเราะห์ และพระองค์ยังได้ทำให้ท่านนบีเป็นกลไกในการสร้างสันติภาพและความปรองดองในหมู่ผู้ศรัทธา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าท่านมีความขัดแย้งและความบาดหมางกัน ต่อมาอัลลอฮ์ได้ทรงเรียกท่านกลับคืนไปสู่พระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาได้ทำให้อบูบักรเป็นคอลีฟะห์ของท่านนบี ในเวลาต่อมา อบูบักรได้แต่งตั้งให้อุมัรเป็นผู้สืบทอดของเขา ทั้งสองได้ฉายให้เห็นการกระทำที่น่ายกย่อง และยังผดุงรักษาความยุติธรรมและความเท่าเทียมเอาไว้ ดังนั้นเราจึงพบว่าเขา (อบูบักรและอุมัร) ได้ปกครองดูแลอุมมะฮ์ก่อนหน้าเรา ถึงแม้ว่าเราในในฐานะที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของท่านนบีจะมีสิทธิในการเป็นคอลีฟะห์มากกว่าก็ตาม แต่เราก็ได้อภัยให้พวกเขา (คำธิบายนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ หน้าที่ 447)
คำพูดของท่านอาลีข้างต้นนี้เป็นที่ชัดเจนว่าท่านชื่นชมและให้การยอมรับในการเป็นคอลีฟะห์ของท่านอบูบักร์และท่านอุมัร และท่านก็เรียกอบูบักร์ว่าเป็นคอลีฟะห์อย่างเต็มปากเต็มคำ นอกจากนั้นท่านยังได้ยืนยันว่าผู้ที่คัดเลือกให้ท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์นั้นก็คือเหล่าบรรดาผู้ศรัทธา แล้วเหตุใดเล่าที่เหล่าชีอะห์อ้างว่า บรรดาศอฮาบะห์ตกมุรตัดทั้งหมดหลังจากนบีเสียชีวิต ในขณะที่ท่านอาลีกลับบอกว่า พวกเขาคือบรรดาผู้ศรัทธา นอกจากนี้ท่านอาลียังยืนยันอีกว่า
“อันที่จริงแล้วหมู่ชนที่ได้ให้สัตยาบันต่อฉันก็คือกลุ่มชนที่เคยให้สัตยาบันต่อท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร, และท่านอุสมาน” (ส่วนหนึ่งจากข้อความของสาสน์ที่ท่านอาลีส่งถึงมุอาวิยะห์ ระบุใน นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ตำราขนานเอกของชีอะห์)
เมื่อท่านอาลียืนยันว่าผู้ที่คัดเลือกท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,ท่านอุสมาน และท่านอาลี เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นชีอะห์กล้าที่จะกล่าวไหมว่า บรรดากาเฟรให้สัตยาบันต่อท่านอาลีในการดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ อย่างไรก็ตาม ข้อความทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นคำยืนยันของท่านอาลีเองทั้งสิ้น ซึ่งแตกต่างจากการอุปโลกน์บรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของชีอะห์อย่างสิ้นเชิง
ประการที่หก
จากการเรียงลำดับคอลีฟะห์ของท่านอาลี โดยนับตั้งแต่ท่านอบูบักร์ อัศศิดดีก เป็นลำดับที่หนึ่ง ท่านอุมัร อิบนุลค๊อตต๊อบ เป็นลำดับที่สอง และท่านอุสมานเป็นลำดับที่สาม หลังจากนั้นประชาชนก็เลือกท่านให้เป็นคอลีฟะห์ต่อจากท่านอุสมาน ซึ่งชาวซุนนะห์ก็นับท่านอาลีเป็นคอลีฟะห์ในลำดับที่สี่ ทั้งหมดนี้เราได้รับทราบและเรียงลำดับจากปากคำของท่านอาลีเอง แต่เราก็ไม่พบหลักฐานที่ท่านอาลีได้กล่าวถึงคอลีฟะห์ลำดับต่อจากท่านจนกระทั่งครบทั้งสิบสองคน ถ้าเช่นนั้นแล้วคอลีฟะห์ที่เหลืออีกจำนวน 8 คนคือใคร แต่หากเหล่าชีอะห์จะหยิบเอาบรรดาอิหม่ามของพวกเขามาต่อท้ายจากการเรียงลำดับของท่านอาลีข้างต้นนี้ ก็จะทำให้มีจำนวนเกินกว่า 12 คนแน่นอน ถ้าเช่นนั้นเหล่าชีอะห์จะยอมทิ้งการอุปโลกน์ของพวกเขา แล้วกลับมาเอาอย่างที่ท่านอาลีบอก หรือว่าจะทิ้งคำของท่านอาลี แล้วถือเอาเรื่องโกหกเป็นแก่นสารในศาสนาของพวกเขาก็ตามใจเถิด
ในช่วงที่เรากล่าวถึง คิลาฟะห์นุบูวะห์ ตามที่ท่านบีบอกว่า จะมีระยะเวลา 30 ปีหลังจากท่าน ซึ่งเราได้เรียงลำดับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของแต่ละท่านมากระทั่งมาสุดที่ท่านที่ห้าคือ ฮะซันบุตรของท่านอาลี เป็นระยะเวลา 30 ปีพอดี ซึ่งเหล่าชีอะห์ก็คงจะนึกถึงอิหม่ามคนโปรดของพวกเขาคือ ท่านฮุเซน ว่ากระเด็นไปอยู่นอกโผได้อย่างไร แต่จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อท่านนบีขีดกรอบเวลาไว้แค่นี้ และท่านอาลีเองก็นับไล่เรียงไว้ดังนี้ หรือเหล่าชีอะห์จะนำเอาท่านฮุเซนมาเป็นคอลีฟะห์ในลำดับที่หก เราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่จะหยิบใครมาใส่เรียงต่อจากนี้ก็ต้องคำนึงถึงคำของท่านนบีที่เรานำเสนอไว้ก่อนหน้านี้ด้วยว่า คอลีฟะห์นั้น ประชาชาติอิสลามทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเขา แต่ที่สำคัญก็คือ อย่าได้หยิบเขามาเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น เหมือนดั่งที่เหล่าชีอะห์มักจะหยิบยกท่านอาลีและวงศ์วานของท่านไปแอบอ้าง แต่ความเชื่อ,การปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขาช่างไกลห่างจากท่านอาลีและวงศ์วานของท่านเหลือเกิน
นอกจากนี้นักวิชาการซุนนะห์ยังให้การยอมรับว่า อุมัร อิบนุอับดิลอะซีซ ก็เป็นคอลีฟะห์อีกท่านหนึ่งด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยความทรงธรรมและด้วยบทบาทของท่านเด่นชัดในการปกครองรัฐอิสลามด้วยอิสลามจริงๆ
ประการที่เจ็ด
การที่ท่านนบีได้กล่าวถึงคอลีฟะห์จำนวนสิบสองคนหลังจากท่านจนกระทั่งถึงยุคสุดท้ายก่อนกิยามะห์จะเกิดขึ้น และในสิบสองคนนี้ท่านได้เจาะจงเฉพาะที่เป็น คิลาฟะห์นุบูวะห์ (ตัวแทนของท่านนบี) ภายในระยะเวลาหลังจากท่าน 30 ปี นอกจากนั้นก็จะเป็นบรรดาคอลีฟะห์ที่มาทำหน้าปกครองรัฐอิสลาม และเป็นผู้นำแห่งประชาชาติอิสลามทั้งมวล ซึ่งเราได้ทราบถึงชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขามาแล้วส่วนหนึ่ง มาถึงตรงนี้ท่านคงต้องการจะทราบว่า ที่เหลืออีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นใคร,ชื่ออะไรกันบ้าง แต่ที่แน่ๆก็คืออิหม่ามสิบสองของลัทธิชีอะห์นั้นไม่ใช่สิบสองคอลีฟะห์แน่นอนตามที่เราได้พิสูจน์มาแล้วด้วยคำของท่านอาลีเอง
ความจริงฮะดีษในเรื่องนี้นั้น ท่านนบีได้แจ้งถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นเดียวกับที่ท่านได้แจ้งถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าในเรื่องอื่นๆ ซึ่งบางเรื่องได้ปรากฏให้คนยุคสุดท้ายอย่างพวกเราได้รู้ได้เห็นแล้ว และบางเรื่องก็ยังไม่ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์ ตัวอย่างเช่นการที่ท่านนบีได้พูดถึงเรื่อง ดัจญาล ว่า
لاَ تَقُوْمُ السَاعَةُ حَتَّى يَخْرُجَ ثَلاَثُوْنَ دَجَّالُوْنَ كُلُّهُمْ يَزْعُمُ أنَّهُ رَسُوْلُ اللهِ
“กาลอวสานจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่า ดัจญาลสามสิบตนจะปรากฏ พวกเขาทั้งหมดจะอ้างว่าเป็นรอซูลของอัลลอฮ์” สุนันอบีดาวู๊ด ฮะดีษเลขที่ 3772
อย่างนี้คือเหตุการณ์ที่ท่านบีแจ้งไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งเราเองก็ยังไม่ได้ประจักษ์ถึงตัวตนของดัจญาลทั้งสามสิบตนตามที่ท่านนบีกล่าวไว้ และเราก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาถึงอนาคตในสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นได้เลย แต่เราก็ศรัทธาตามที่ท่านนบีได้บอก และการที่ท่านนบีกล่าวว่า “ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า” ก็เป็นแจ้งล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งบางส่วนก็ปรากฏและเป็นที่ประจักษ์แล้วและบางส่วนก็ยังมิได้ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งจุดยืนของชาวซุนนะห์ในเรื่องนี้คือ การที่จะไม่พูดอะไรโดยปราศจากหลักฐานหรือข้อเท็จจริง ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงเตือนบรรดาผู้ศรัทธาในการจะพูดถึงเรื่องใดจากการคาดเดาว่า
وَمَالَهُمْ بِذَلِكَ مِنْ عِلْمٍ إنْ هُمْ إلا يَظُنُّوْنَ
“และสำหรัพวกเขามิได้มีความรู้ในเรื่องนั้นหรอกนอกจากคาดเดา” ซูเราะห์อัลญาซียะห์ อายะห์ที่ 24
وَلاَ تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إنَّ السَمْعَ وَالبَصَرَ وَالفُؤَادَ كُلُّ أُوْلئِكَ مَسْئُوْلاً
“และเจ้าอย่าได้เชื่อตามในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงการได้ยิน (หู) การเห็น (ตา) และหัวใจนั้น ทั้งหมดย่อมถูกสอบสวน” ซูเราะห์อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 36
ท่านอิบนุฮะญัร อัลอัสกอลานีย์ นักวิชาการระบือนาม เจ้าของหนังสือ ฟัตฮุลบารีย์ เป็นหนังสืออธิยายฮะดีษศอเฮียะห์บุคคอรี ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะมาเจาะจงความฮะดีษบทนี้” ฟัตฮุ้ลบารย์ 16 หน้าที่ 338
ด้วยเหตุนี้ชาวซุนนะห์จึงมีจุดยืนที่มั่นคงในการที่จะไม่วิจารณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า ในสิ่งที่ไม่มีตัวบทหลักฐานมายืนยันในประเด็นที่เกี่ยวกับสิบสองคอลีฟะห์ ว่าจะปรากฏครบถ้วนในยุคใดหรือปีใด ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้รอคอย และชาวซุนนะห์ก็เชื่อตามที่ท่านนบีบอก และเชื่อในสิ่งที่ได้ปรากฏแล้วบางส่วนตามคำยืนยันของท่านอาลี แต่เหล่าชีอะห์กลับมีความเชื่อที่สวนทางกับท่านอาลีเสียเอง อย่างนี้พิศดารไหม
ประการที่ 8
ตามที่ได้พิสูจน์กันมาก่อนแล้วว่า สิบสองคอลีฟะห์ ที่ท่านนบีกล่าวถึง ไม่ใช่สิบสองอิหม่าม ของลัทธิชีอะห์ ตามคำยืนยันของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ แต่เหล่าชีอะห์ก็ยังไม่ละความพยามยามในการที่จะบิดเบือนความหมายของฮะดีษ ซึ่งพวกเขาพยายามที่จะโพทนาว่า สิบสองคอลีฟะห์ หรือสิบสองอิหม่ามตามการบิดเบือนของพวกเขานั้น ทั้งหมดมาจากตระกูลบะนีฮาเซ็ม ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของพวกเขาโดยตรง ทั้งๆ ที่ในตัวบทฮะดีษระบุไว้ชัดเจนว่า ทั้งหมดมาจากกุรอยช์ ไม่ใช่เฉพาะตระกูลบะนีฮาเซ็มที่เหล่าที่ชีอะห์ได้แอบอ้าง
พฤติกรรมของเหล่าชีอะห์เยี่ยงนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดของท่านนบีที่ว่า “ถ้าไม่มียางอายก็ทำเถิดในสิ่งที่อยากทำ” ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3225
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.