أَخْبَرَنَا الْحُسَيْنُ بْنُ مُحَمَّدٍ،حَدَّثَنَا أَبُو حُذَيْفَةَ أَحْمَدُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيٍّ،حَدَّثَنَا زَكَرِيَّا بْنُ يَحْيَى بْنِ يَعْقُوبَ الْمَقْدِسِىُّ ، حَدَّثَنَا أَبِيْ، حَدَّثَنَا أَبُو الْعَوَّامِ أَحْمَدُ بْنُ يَزِيدَ الرَّيَاحِيُّ ، حَدَّثَنَا الْمَدَنِيُّ، عَنْ زَيْدٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ قَالَ : قَالَ النَّبِيُّ {صلى الله عليه وسلم} لِعَلِيٍّ : «يَا عَلِيُّ أَنْتَ فِي الْجَنَّةِ وَشِيْعَتُكَ فِي الْجَنَّةِ،
الكشف والبيان للثعلبى انظر السورة التوبة : 33 ج 12 ص 246
อัลฮูเซน บินมุฮัมมัดเล่าให้เราฟัง อบูฮุซัยฟะฮ์ อะหมัด บินมุฮัมมัด บินอะลีเล่าให้เราฟัง ซะกะรียา บินยะหฺยา บินยะอ์กูบ อัลมักดิซีเล่าให้เราฟัง บิดาฉันเล่าให้เราฟัง อบุลเอาวาม อะหมัด บินยะซีด อัด-ดีบาญีเล่าให้เราฟัง อัลมะดะนีเล่าให้เราฟัง จากเซด จากท่านอิบนุ อุมัรเล่าว่า : ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)กล่าวกับท่านอะลีว่า : โอ้อะลี ! ท่านจะได้อยู่ในสวรรค์ และชีอะฮ์ของท่านจะได้อยู่ในสวรรค์
อ้างอิงจากตัฟสีร อัลกัชฟุ วัลบะยาน โดยอัษ-ษะอ์ละบี เล่ม 12 : 246 ดูตรงคำอธิบายซูเราะฮ์เตาบะฮ์ : 33
ข้อความข้างต้นนี้ เป็นการนำเสนอของลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ซึ่งพี่น้องมุสลิมส่งมาให้ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง โดยกล่าวว่า ได้นำเอามาจากเว็บไซต์หนึ่ง
วิจารณ์การนำเสนอของชีอะห์
กลายเป็นเรื่องปกติวิสัยสำหรับเหล่าชีอะห์ อิหม่ามสิบสอง ที่พวกเขาจะนำเอาข้อความใดๆ จากตำราของชาวซุนนะห์มานำเสนอในลักษณะตัดตอนข้อความ โดยจะนำเอาข้อความเฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อลัทธิของตัวเองมาแสดง โดยไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์ของเจ้าของตำราว่า การที่เขาระบุข้อความเหล่านั้นไว้เพื่อสื่อความในเรื่องใด นอกจากนั้นแล้วเหล่าชีอะฮ์ยังไม่คำนึงถึงมาตรฐานการตรวจสอบความถูกต้อง เพียงแต่ขอให้ได้อ้างว่า มีอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์ก็เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว
การตัดตอนข้อความตามที่ชีอะฮ์ได้นำมาแสดงในเรื่องนี้ ถือเป็นความอาจหาญอย่างที่ใครก็นึกไม่ถึง พวกเขาคงคิดว่า คนทั่วไปคงไม่มีโอกาสได้ค้นคว้าหรือติดตามข้อมูลเบื้องลึกที่พวกเขานำมาแสดง แต่พวกเขาคิดผิด เพราะชาวซุนนะห์จะไม่สะเพร่าในเรื่องวิชาการ และเชื่อตามโดยที่ไม่รู้ที่มาที่ไป
ชีอะห์ได้อ้างว่า ข้อความที่แสดงข้างต้นนี้ นำเอามาจากหนังสือของชาวซุนนะห์ชื่อ ตัฟสีร อัลกัชฟุ วัลบะยาน โดยอัษ ษะละบี และเมื่อเราติดตามไปดูข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็จะพบข้อความโดยสมบูรณ์ที่ไม่ถูกตัดตอนดังนี้
أَخْبَرَنَا الْحُسَيْنُ بْنُ مُحَمَّدٍ،حَدَّثَنَا أَبُو حُذَيْفَةَ أَحْمَدُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيٍّ،حَدَّثَنَا زَكَرِيَّا بْنُ يَحْيَى بْنِ يَعْقُوبَ الْمَقْدِسِىُّ ، حَدَّثَنَا أَبِيْ، حَدَّثَنَا أَبُو الْعَوَّامِ أَحْمَدُ بْنُ يَزِيدَ الدِّيبَاحِيُّ ، حَدَّثَنَا الْمَدَنِيُّ، عَنْ زَيْدٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ قَالَ :قال النبي {صلى الله عليه وسلم} لعلي : «يا علي أنت في الجنة وشيعتك في الجنة،
وسيجيء بعدي قوم يدعون ولايتك،
لهم لقب يقال له : الرافضة،
فإن أدركتهم فاقتلوهم فإنهم مشركون».
قال : يا رسول الله ما علامتهم؟
قال : «يا علي إنهم ليست لهم جمعة،
ولا جماعة يسبون أبا بكر،
وعمر».
อัลฮูเซน บินมุฮัมมัดเล่าให้เราฟัง อบูฮุซัยฟะฮ์ อะหมัด บินมุฮัมมัด บินอะลีเล่าให้เราฟัง ซะกะรียา บินยะหฺยา บินยะอ์กูบ อัลมักดิซีเล่าให้เราฟัง บิดาฉันเล่าให้เราฟัง อบุลเอาวาม อะหมัด บินยะซีด อัด-ดีบาญีเล่าให้เราฟัง อัลมะดะนีเล่าให้เราฟัง จากเซด จากท่านอิบนุ อุมัรเล่าว่า : ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)กล่าวกับท่านอะลีว่า : “โอ้อะลี ! ท่านจะได้อยู่ในสวรรค์ และชีอะฮ์ของท่านจะได้อยู่ในสวรรค์ และจะมีกลุ่มชนหนึ่งอุบัติขึ้นหลังจากฉัน พวกเขาจะอ้างการปกครองของเจ้า พวกเขาจะมีฉายา ถูกเรียกขานว่า รอฟีเฏาะอ์ และหากเจ้าได้อยู่ทันพบกับพวกเขา ก็จงฆ่าพวกเขา เพราะพวกเขาคือ บรรดาผู้ตั้งภาคี เขากล่าวว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ อะไรคือเครื่องหมายสำหรับพวกเขา ? ท่านตอบว่า โอ้อาลีเอ๋ย แท้จริงพวกเขาไม่มีญุมะอะห์ และญะมาอะห์ พวกเขาจะด่าอบูบักร์ และอุมัร”
ข้อความโดยสมบูรณ์ข้างต้นนี้ เป็นการประจานความเชื่อและพฤติกรรมของเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสอง หรือทีถูกเรียกว่า รอฟิเดาะห์ ที่จริงแล้วข้อความเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับชาวซุนนะห์ ในการชี้สถานะของชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ที่พวกเขาด่าประณามท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร ซึ่งถ้าถือตามตัวบทนี้ ก็ต้องบอกว่า คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นมุสลิม แต่อยู่ในสถานะของ มุชริก คือบรรดาผู้ตั้งภาคี ซึ่งมีคำสั่งให้ประหาร
แต่ชาวซุนนะห์ก็มิได้ฉกฉวยถือเอาเป็นข้ออ้าง เพราะเราทราบดีว่า ข้อความเหล่านี้คือ นิยาย ที่ถูกอุปโลกน์เป็นฮะดีษของท่านนบี
หนึ่งในผู้รายงานเรื่องนี้คือ อะห์หมัด บิน มูฮัมหมัด บิน อาลี บุคคลผู้นี้ไม่เป็นที่เชื่อถือของนักวิชาการฮะดีษ โดยท่านอิบนุ อะดีย์ วิจารณ์ว่า เขาเป็นผู้อุปโลกน์ฮะดีษ (มีซาลนุ้ลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 1 หน้าที่ 147)
ส่วนผู้รายงานคนอื่นๆในสายที่แสดงให้เห็นนี้ ล้วนแต่เป็นบุคคล มัจญฮูล ทั้งสิ้น หมายถึง เป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก ไม่สามารถสืบทราบประวัติของพวกเขาได้ ซึ่งในทางวิชาการฮะดีษนั้น ถือว่า เป็นฏออีฟ
.........................................................................................................................................................................................................
และข้อความต่อไปนี้เป็นอีกบทหนึ่งที่พี่น้องส่งมาให้ช่วยตรวจสอบด้วยเช่นกันคือ
حَدَّثَنَا إِبْرَاهِيمُ بْنُ شَرِيْكٍ حَدَّثَنَا عُقْبَةُ بْنُ مُكْرَمٍ الضبي حَدَّثَنَا يُونُسُ بْنُ بُكَيْرٍ ، عَنِ السَّوَّارِ بْنِ مُصْعَبٍ ، عَنْ أَبِي الْجَحَّافِ ، قَالَ أَبُو مُكْرَمٍ عقبة : وَكَانَ مِنَ الشِّيْعَةِ ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَمْرٍ ، عَنْ فَاطِمَةَ الْكُبْرَى ، عَنْ أُمِّ سَلَمَة قَالَتْ : كَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عِنْدِيْ فِيْ لَيْلَتِيْ فَغَدَتْ عَلَيْهِ فَاطِمَةُ وَعَلِيٌّ ، فَقَالَ رَسُوْلُ الله صلى الله عليه وسلم : « يَا عَلِيُّ أَبْشِرْ ، فَإِنَّكَ وَأَصْحَابَكَ وَشِيْعَتَكَ فِي الْجَـنَّةِ » الكتاب : فضائل الصحابة لأحمد بن حنبل ج 3 ص 94 ح : 1080
ท่านหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ ภรรยาท่านนบี(ศ)เล่าว่า : ปรากฏว่าท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)อยู่กับฉัน ในคืนของฉัน พอรุ่งขึ้นฟาติมะฮ์กับอะลีได้มาหาท่านแต่เช้าตรู่ ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวว่า :โอ้อะลี ฉันขอแจ้งข่าวดีว่า แท้จริงท่านกับอัศฮาบของท่าน และชีอะฮ์ของท่านจะได้อยู่ในสรวงสวรรค์
อ้างอิงจากหนังสือฟะฎออิลุศ - เศาะหาบะฮ์ โดยอิหม่ามอะหมัด เล่ม 3 : 94 หะดีษที่ 1080
วิจารณ์การนำเสนอของชีอะห์
ท่านอิหม่ามอะห์หมัด อิบนิ ฮัมบัล นอกจากจะเป็นนักฟิกฮ์แล้ว ท่านยังเป็นนักฮะดีษที่มีความเชี่ยวชาญอีกด้วย โดยท่านมีบันทึกฮะดีษที่รู้จักกันในนาม มุสนัดอิหม่าม อะห์หมัด
ฮะดีษที่ชีอะห์ ได้นำเสนอนี้ มิได้ถูกบันทึกในตำราฮะดีษของท่านอิหม่ามอะห์หมัด แต่อยู่ในหนังสือ ฟะฏออิลุสศอฮาบะห์ ซึ่งรวบรวมบรรดาฮะดีษที่กล่าวถึงความประเสริฐของบรรดาศอฮาบะห์ไว้มากมาย ซึ่งมีทั้งฮะดีษที่ศอเฮียะห์,ฏออีฟ,และเมาดัวอ์ ปะปนกัน
ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เหล่าชีอะห์นั้นไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องในการนำเสนอ พวกเขาเพียงแต่นำมาแสดงเพื่อจะอ้างว่ามีอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์เท่านั้น
เมื่อสำรวจในสายรายงานก็พบข้อความที่ถูกระบุไว้ดังนี้คือ وَكَانَ مِنَ الشِّيْعَةِ แปลว่า เขาเป็นชีอะฮ์ ซึ่งเป็นการระบุถึงจุดยืนและสถานะของผู้รายงานได้เป็นอย่างดี จนแทบจะไม่ต้องวิจารณ์ในประเด็นอื่น ๆ เนื่องจากคนที่เข้ารีตชีอะห์นั้น ย่อมจะมีการตะอัศศุบ หรือความคลั่งไคล้ในลัทธิชีอะห์ที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเป็นที่ทราบกันดีว่า ในหลักความเชื่อของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่อง ตะกียะห์ หมายการปิดบัง,อำพราง คือสิ่งที่กระทำแล้วได้บุญมหาศาล แต่พฤติกรรมเช่นนี้จะไม่ถูกตอบรับในแวดวงของนักวิชาการฮะดีษ เพราะการโกหกมีผลทำให้ตัวผู้รายงานมีความบกพร่อง และคำรายงานของเขาก็ไม่เป็นที่ไว้วางใจด้วยเช่นเดียวกัน
ท่านอิบนุอะดีย์ ได้วิจารณ์ว่า อบีญฮ์ฮาฟนั้น คือ ดาวูด บิน อบีเอาวฟ์ เขาเป็นชีอะฮ์ ที่ชอบอุปโลกน์ฮะดีษเกี่ยวกับอะฮ์ลุ้ลบัยต์ (มีซานุ้ลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 2 หน้า 18)
ส่วนผู้รายงานคนอื่นๆ เช่น เซาวาร บินมุศอับ อัลฮัมดานีย์ อัลกูฟีย์ ท่านอิหม่ามบุคคอรี กล่าวว่า มุงกัร, อิหม่ามนะซาอีย์ กล่าวว่า มัตรู๊ก,ท่านอบูดาวูด กล่าวว่า เชื่อถือไม่ได้ (มีซานุ้ลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 2 หน้าที่ 246)
เพราะฉะนั้นฮะดีษทั้งสองบท จากการนำเสนอของชีอะห์ จึงเป็นฮะดีษอุปโลกน์ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะนำมาอ้างอิงเป็นหลักฐาน
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.