เป็นที่ทราบกันดีว่า ชีอะห์อิหม่ามสิบสองนั้น เกลียดชัง ท่านอุมัร อิบนุล ค๊อตต๊อบ ถึงกับด่าประณามท่านอย่างเปิดเผย และพยายามโน้มน้าวผู้อื่นให้เกิดความรู้สึกชิงชังต่อท่าน (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาท่านอุมัรด้วยเถิด) พวกเขาพยายามกุเรื่องเท็จใส่ร้ายท่านอุมัร เรื่องแล้วเรื่องเล่า บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้คนเข้าใจผิดในตัวท่านอุมัร ดังที่ปรากฏบทความเรื่อง ถามวิชาการในอัลกุรอาน ต้องโทษสถานหนัก...?! ในเว็บยอมใหญ่ ซึ่งเราจะได้นำมาตีแผ่ให้ท่านทราบดังต่อไปนี้
ชีอะห์ได้บิดเบือนเรื่องราวโดยเกริ่นนำในบทความของเขาว่า
ถามหาวิชาการในอัลกุรอาน ฮะรอม ต้องโทษหนัก...?!
คนที่ศึกษาวิชาการทางศาสนา จะต้องถูกลงโทษ เฆี่ยน และถูกขับไสไล่ส่ง โดยคำตัดสินของท่านอุมัร !๑ ในหลายปริศนาคำสั่งห้ามตำหนิศอฮาบะฮ์ เพราะอะไร ?!
บรรดาอุละมาของฝ่ายซุนนะฮ์ รายงานตรงกันว่าการก่อคดีอาญาของศอบีฆ อัตตะมีมีย์ เป็นเรื่องจริง
มีสารบบนักรายงาน(สะนัด)ถูกต้อง(ศอฮีฮ์)
นั่นคือ ในสมัยคอลีฟะฮ์อุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ ชายหนุ่มศอบีฆ ผู้เป็นหัวหน้าชนกลุ่มหนึ่งได้ซักถามท่านอุมัร เกี่ยวกับความหมายต่างๆของอัลกุรอาน
ทำให้อุมัรรู้สึกโกรธมากที่ชายคนนี้มาถามความรู้จากท่าน ท่านเห็นว่าเป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรง จึงสั่งให้ลงโทษ
วิธีการลงโทษคือโบยตีตรงศีรษะด้วยกิ่งอินทผลัมสดจนเป็นแผลแตก
และยังได้เฆี่ยนตีตามร่างกายอีกหลายแห่ง จนเลือดของศอบีฆไหลอาบโทรมกายตั้งแต่ศีรษะ และแผ่นหลัง จนถึงข้อเท้าทั้งสองข้าง
สรุปแล้วเขาต้องรับบาดเจ็บสาหัส เพราะได้กระทำความผิดฐานซักถามความเข้าใจโองการต่างๆของอัลกุรอานจากคอลีฟะฮ์อุมัร !
หลังจากนั้นคอลีฟะฮ์อุมัรยังได้ออกคำสั่งโดยอาญาสิทธิ์ในฐานะคอลีฟะฮ์ของท่านศาสดา(ศ)
โดยให้นำตัวหนุ่มศอบีฆ์ไปขังคุก แทนการตอบปัญหาวิชาการให้เขาได้ทราบ จนกระทั่งอาการบาดเจ็บของศอบีฆหายจากบาดแผลตามร่างกาย จนเกือบเป็นปกติ
แต่แล้วคอลีฟะฮ์อุมัรก็ยังนำตัวศอบีฆ์ออกมาลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีซ้ำรอยเดิม !
ซึ่งผิดแผกไปจากวิธีการตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมใดๆเท่าที่มีในโลกนี้ หลังจากนั้น ก็ได้สั่งเจ้าหน้าที่ให้นำศอบีฆไปสวมเสื้อผ้าหยาบๆคล้ายกระสอบ
แล้วนำตัวขึ้นนั่งบนหลังอูฐส่งกลับไปหาบรรดาญาติพี่น้อง ซึ่งบรรดาญาติหลายก๊กหลายเผ่าของศอบีฆต่างก็พลัดกันมาวนเวียนเฝ้าดูอาการบาดเจ็บถามไถ่ปัญหาสาเหตุด้วยความห่วงใย ว่าท่านหัวหน้าของตนไปทำความผิดกับท่านคอลีฟะฮ์อุมัร ฉันใดฤๅ จนถึงกับต้องรับโทษจากท่านอุมัรฟารูก คอลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรมของพวกตนถึงเพียงนี้
ศอบีฆก็บอกเล่าไปตามความจริง ข่าวคราวของศอบีฆได้สร้างความหวาดผวาและแพ่รสะพัดอย่างเงียบๆในหมู่วงศาคณาญาติ และเพื่อนพ้อง
ทางฝ่ายอาลักษณ์(คอฏีบ)ของคอลีฟะฮ์อุมัรก็ได้ออกคำประกาศเป็นแถลงการณ์ว่า เนื่องจากศอบีฆ เป็นคนทะเยอทะยานในการแสวงหาความรู้ ดังนั้นให้ถือว่าเขามีความผิดมหันต์ !
จำเป็นที่เขาต้องเขาได้รับโทษ ทั้งสถานหนักและสถานเบา ! กล่าวคือ จะไม่สนับสนุนการยังชีพและรายได้จากกองคลังบัยตุลมาลแก่เขาอีกต่อไป !
จะต้องไม่ให้ใครพบปะสังสรรค์แม้สักคนเดียว หากเขาป่วยก็ห้ามเยี่ยม และหากเขาตาย ก็อย่ามีใครเยี่ยมดูญะนาซะฮ์ของเขาเลย !!
บทลงโทษแบบพิสดารอันแสนเข็ญของศอบีฆ อัตตะมีมีย์ เป็นรายงานริวายะฮ์บอกเล่าอย่างเงียบเชียบสืบต่อกันมา มากกว่า สามสิบ กระแสสายรายงาน
เป็นบทรายงานที่พรรณนาในลักษณะเดียวกัน ถึงอำนาจตุลาการและกระบวนการยุติธรรมของอุมัร บิน ค็อฏ ฏ็อบ คอลีฟะฮ์อชิดีน ที่กระทำกับประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครอง
เป็นบทรายงานที่บรรดานักวิชาการศาสนา ฟุกอฮาอ์ทั้งหลายของฝ่ายซุนนะฮ์ยืนยันรับรองเองว่า ถูกต้อง
ใช่แล้ว ! ถูกต้องแล้ว เป็นความจริง ทั้งจากบรรดาสารบบนักรายงาน(สะนัด) และใจความเนื้อหาที่บอกเล่า(มะตัน)กันมา ให้คนรุ่นหลังศึกษาค้นคว้า
ไม่ใช่อยู่ดีๆมีคนเอาเรื่องแบบนี้มาใส่ร้ายป้ายสีคอลีฟะฮ์ อุมัร ผู้ทรงธรรม
และไม่ใช่อยู่ดีๆมีคนหยิบยกเรื่องแบบนี้ขึ้นมาประณามศอฮาบะฮ์
เปล่าเลย ! มันมิใช่การใส่ร้าย และมันมิใช่การประณามทั้งสองอย่าง
แต่เป็นการนำเอาข้อมูลชิ้นเล็กๆในประวัติศาสตร์ ที่หลายคนมองผ่านมาเป็นกรณีศึกษา
เพื่อให้ทะลุทะลวงไปถึงเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของสาวกผู้ยิ่งใหญ่สามท่านแรกของท่านศาสดา(ศ)ว่า มีความชอบธรรมตามหลักศาสนา ได้พิทักษ์รักษาหลักการของอิสลามเอาไว้ แค่ไหน เพียงใด ?
เป็นการเปิดเผยความจริง แม้มันจะขมขื่น
เพื่อช่วยคลี่คลายปมปริศนา ตำแหน่งคอลีฟะฮ์ ให้รู้ถูกผิด ดี ชั่ว
เหมือนกับรื้อฟื้นคดีประวัติศาสตร์ เพื่อการทวงถามสัจธรรม
..................................................................................................................
การเกริ่นนำของชีอะห์ข้างต้นนี้ ก็เพื่อทำให้ผู้คนได้เคลิบเคลิ้มไปกับนิยายขายฝันที่พวกเขาสร้างขึ้น ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบที่มาที่ไปเกิดความรู้สึกกังขาต่อตัวท่านอุมัรว่า ความผิดเพียงเล็กน้อยแต่ทำไมลงโทษสาหัสขนาดนี้, หรือท่านอุมัรทำเกินกว่าเหตุ, บันดาลโทสะ, ใช้อำนาจบาตรใหญ่, ไม่มีเหตุผล และ ฯลฯ นี่คือจุดมุ่งหมายของนิยายขายฝันที่พวกเขาต้องการให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกเช่นนั้นต่อท่านอุมัรจริงๆ
หากแต่ผู้อ่านตั้งสติสักนิด แล้วคิดทบทวนว่า ในยุคที่ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะห์นั้น บรรดาศอฮาบะห์ของท่านนบีก็มีอยู่ตั้งมากมาย โดยเฉพาะท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ ก็ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในขณะนั้น แต่ไฉนเลยถึงปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ใดทักท้วง หรือตำหนิท่านอุมัร แม้แต่เพียงผู้เดียว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคการปกครองของท่านอุมัร ผ่านมาตั้งพันกว่าปี แล้วบรรดานักวิชาการชาวซุนนนะห์ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเรื่องเหล่านี้เลยหรือ แต่ทำไมบรรดานักวิชาการซุนนะห์กลับชื่นชมท่านอุมัร มิหนำซ้ำ ยังได้เอาเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของการรักษาและปกป้องอัลกุรอานอีกด้วย
หรือว่ามุสลิมทั้งโลกหัวใจบอดกันหมด รวมถึงท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ และบรรดาวงศ์วานของท่านในยุคอดีตด้วย จะมีก็แต่เพียงชีอะห์ปลายแถวในยุคปัจจุบันที่แอบอ้างว่ารักท่านอาลีเท่านั้น ที่หูตาสว่างมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หรือว่าพวกเขามีหูทิพย์,ตาทิพย์ และญาณทิพย์ ที่สามารถมองเห็นภาพและเหตุการณ์ในอดีตได้ จึงพูดและฮุก่มท่านอุมัรกันเป็นวรรคเป็นเวร หรือว่าพวกเขาสร้างเรื่องเท็จ, บิดเบือนความจริง ใส่ร้ายและปรักปรำท่านอุมัร ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไร อยากให้ได้ทำความเข้าใจความหมายของอัลกุรอาน อายะห์ต่อไปนี้ก่อนเป็นอันดับแรก
พระองค์อัลลอฮ์ ทรงกล่าวว่า
هو الذي أنزل عليك الكتاب منه آيات محكمات هن أم الكتاب وأخر متشابهات فأما الذين في قلوبهم زيغ فيتبعون ما تشابه منه ابتغاء الفتنة وابتغاء تأويله وما يعلم تأويله إلا الله والراسخون في العلم يقولون أمنابه كل من عند ربنا وما يذكر إلا أولوا الألباب
“พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมคีร์ให้แก่เจ้า ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นโองการที่มีความหมายชัดเจน ซึ่งมันเป็นแม่บทของคัมภีร์ และอื่นจากนี้เป็นโองการที่มีความหมายหลายนัยยะ ส่วนบรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขาเอนเอียงจากสัจธรรมนั้น พวกเขาก็จะติดตามโองการที่มีหลายนัยยะจากอัลกุรอาน ทั้งนี้เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย และแสวงหาการตีความในโองการดังกล่าว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ถึงการตีความนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้นั้นพวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่ออัลกุรอาน ทั้งหมดมาจากองค์อภิบาลของพวกเรา และไม่มีผู้ใดได้รับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้มีสติปัญญาเท่านั้น” ซูเราะห์ อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 7
อัลกุรอ่านข้างต้นนี้คือคำตอบของหัวข้อทีชีอะห์ตั้งขึ้นว่า “ถามหาวิชาการในอัลกุรอาน ฮะรอม ต้องโทษหนัก...?!” เราไม่ทราบว่าชีอะห์ไม่เคยอ่านและศึกษาความหมายอัลกุรอาน อายะห์นี้หรืออย่างไร หรือพวกเขาปิดบังเรื่องการก่อฟิตนะห์จากการตีความโองการที่มีหลายนัยยะเอาไว้ แล้วเบี่ยงเบนเรื่องนี้ให้กลายเป็นการสอบถามเรื่องความรู้ทั่วไป นี่คือการบิดเบือนหัวข้อเรื่องตามที่พวกเขาได้นำแสดง
นอกจากนั้นแล้ว ชีอะห์ยังได้นำข้อความบันทึกเหตุการณ์มาแสดงแล้วแปลอย่างบิดเบือนอีกว่า
(عن سليمان بن يسار أن رجلاً يقال له صبيغ قدم المدينة فجعل يسأل عن متشابه القرآن فأرسل إليه عمر وقد أعد له عراجين النخل فقال: من أنت؟ قال أنا عبد الله صبيغ، فأخذ عمر عرجوناً من تلك العراجين فضربه وقال: أنا عبد الله عمر فجعل له ضرباً حتى دمي رأسه، فقال يا أمير المؤمنين حسبك قد ذهب الذي كنت أجد في رأسي!
ท่านสุลัยมาน บิน ยะซาร รายงานว่า ชายคนหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ศอบีฆ ได้เดินเข้ามาในเมืองมะดีนะฮ์ แล้วตั้งคำถามของเขาเกี่ยวกับข้อสงสัยความหมายของอัลกุรอาน แต่แล้ว ท่านอุมัรได้ออกคำสั่งให้ลงโทษเขา โดยเขาเองได้ทุบตีศอบีฆด้วยกิ่งอินทผลัม ท่านอุมัรถามว่า เจ้าเป็นใคร ? ชายคนนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าคือ บ่าวของอัลลอฮ์ ศอบีฆ ดังนั้นท่านอุมัรได้ฉวยกิ่งอินทผลัมมาจากต้นอินทผลัมเหล่านั้น แล้วทุบตีเขา พลางกล่าวว่า : ฉันคือบ่าวของอัลลอฮ์ อุมัร จากนั้น ก็ได้ลงมือตีศอบีฆจนกระทั่งเลือดไหลอาบศีรษะ ศอบีฆร้องอุทธรณ์ว่า พอแล้วท่าน โอ้ อะมีรุลมุมินีน สิ่งที่ฉันมีอยู่ในศีรษะของฉันไหลออกมาแล้ว !
ประโยคที่ว่า يسأل عن متشابه القرآن ไม่ได้แปลว่า “เขาถามเกี่ยวกับข้องสงสัยความหมายของอัลกุรอาน” เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า บรรดาศอฮาบะห์ต่างถามข้อสงสัยความหมายของอัลกุรอานจากท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นเนืองนิตย์ หรือไม่ก็สอบถามความเข้าใจในระหว่างศอฮาบะห์ด้วยกันเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด หรือมีโทษร้ายแรงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม การศึกษาความหมายและทำความเข้าใจในเรื่องอัลกุรอานนั้น กลับเป็นสิ่งที่อิสลามส่งเสริม,สนับสนุน
เราไม่เข้าใจว่า ทำไมชีอะห์ถึงแปลคำว่า متشابه القرآن ในประโยคข้างต้นนี้ว่า “ความหมายของอัลกรุอ่าน” ทั้งๆที่ความหมายที่แท้จริงคือ “โองการที่มีหลายนัยยะของอัลกุรอาน” ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงประณามบรรดาผู้ที่ไขว่ขว้าโองการที่มีหลายนัยยะว่า เป็นผู้ที่หัวใจของเขาเอนเอียงจากสัจธรรม โดยต้องการก่อฟิตนะห์ และต้องการตีโองการเหล่านี้ แต่ชีอะห์กลับแปลให้ผิดเพี้ยน แล้วยังบิดเบือนประเด็นตามที่เขาได้เกริ่นไว้ในคำนำของบทความว่า “คนที่ศึกษาวิชาการทางศาสนา จะต้องถูกลงโทษ เฆี่ยน และถูกขับไสไล่ส่ง”
“คนที่ก่อฟิตนะห์” กับ “คนที่ศึกษาวิชาการศาสนา” เป็นคนละคน,คนละเรื่องกันเลย
การก่อฟิตนะห์ต่ออัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ของอัลลอฮ์ แล้วแพร่กระจายฟิตนะห์นี้สู่สังคมมุสลิมเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของอิสลามและมุสลิมีน ดังข้อความบันทึกเหตุการณ์ที่ชีอะห์นำมาแสดงเองว่า “ศอบีค” ได้เข้ามาที่นครมะดีนะห์ แล้วเที่ยวสอบถามเรื่องนี้แก่บรรดาผู้คนดังนี้
قدم المدينة فجعل يسأل عن متشابه القرآن
“เขามาที่นครมะดีนะห์แล้วเที่ยวสอบถามเกี่ยวกับโองการที่มีหลายนัยยะของอัลกุรอาน”
ในข้อความที่เขานำแสดงเองนั้น ไม่ได้รุบะเลยว่า ศอบีฆ ได้สอบถามเรื่องนี้จากท่านอุมัรโดยตรง แต่ชีอะห์ก็โกหกไว้ในบทนำของเขาว่า “ชายหนุ่มศอบีฆ ผู้เป็นหัวหน้าชนกลุ่มหนึ่งได้ซักถามท่านอุมัร เกี่ยวกับความหมายต่างๆของอัลกุรอาน” นอกจากนั้นเขายังโกหกต่อไปอีกว่า “ทำให้อุมัรรู้สึกโกรธมากที่ชายคนนี้มาถามความรู้จากท่าน” และโกหกว่า “สรุปแล้วเขาต้องรับบาดเจ็บสาหัส เพราะได้กระทำความผิดฐานซักถามความเข้าใจโองการต่างๆของอัลกุรอานจากคอลีฟะฮ์อุมัร !” นี่คือการโกหกแบบไม่มียางอายจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ในข้อความที่เขานำมาแสดงเองยังระบุว่า فأرسل إليه عمر แปลว่า “ดังนั้นอุมัรจึงได้ส่งคนไปตามหาเขา” ไม่ได้แปลว่า “ท่านอุมัรได้ออกคำสั่งให้ลงโทษเขา” ซึ่งเป็นการแปลบิดเบือนเพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่า ท่านอุมัรสั่งลงโทษโดยไม่ทันสอบสวนเรื่องราวใดๆ แต่พอเขานำบันทึกเหตุการณ์อีกบทหนึ่งมาแสดงว่า
فأرسل عمر إلى رطائب من جريد
เขาแปลว่า ดังนั้นอุมัร บิน ค็อฏฏ็อบได้สั่งให้หากิ่งอินทผลัมสดๆมาจำนวนหนึ่ง ทำไมเขาไม่แปลว่า “ดังนั้นอุมัรได้ออกคำสั่งให้ลงโทษกิ่งอินทผลัมสดๆจำนวนหนึ่ง”
ทั้งๆที่เขาก็รู้ความหมาย และแปลอย่างถูกก็เป็น แต่นิสัยโกหกพกลม ต้องการใส่ร้ายท่านอุมัร ทำให้พวกเขาขาดสามัญสำนึกในการถ่ายทอดความรู้
ศอบีฆ เป็นใคร
ชื่อ ศอบีฆ อิบนุ อิชล์ อัตตะมีมีย์ อัลกูฟีย์ ชื่อพ่อของศอบีฆ นั้นมีกล่าวไว้ในตำราหลายเล่มด้วยกัน บ้างก็ว่า ศอบีฆ อิบุ อุซัยล์ ก็มี
ในหนังสือ “อัลอิสติซการ” ของ อิบนุ อับดิลบิร ระบุว่า
قال أبو عمر كان صبيغ من الخوارج
“อบู อุมัร กล่าวว่า ศอบีฆ นั้นเป็นค่อวาริจญ์” (อัลอิสติสการ 5/71)
คอวาริจญ์คือกลุ่มที่สนับสนุนท่านอาลีแต่เดิม ก่อนปลีกตัวออกมาต่อต้านเนื่องจากความไม่พอใจคำตัดสินของท่านอาลี กรณีสงครามซิฟฟีน หรือเราจะพูดอีกทีว่า คอวาริจญ์ คือกลุ่มชีอะห์ที่หักหลังท่านอาลี ก็คงไม่ผิดหรอก แต่เมื่อคอวาริจญ์ได้กลายเป็นปรปักษ์ต่อท่านอาลี แต่ทำไมชีอะห์จากเว็บยอมใหญ่ ถึงแสดงอาการ ผูกพันธ์ ปกป้องเขาอย่างออกหน้าออกตา จนต้องใส่ร้ายท่านอุมัรในเรื่องนี้ด้วย หรือคำพูดที่ว่ารักท่านอาลี คือเรื่องจอมปลอม ที่เราวิจารณ์หลายครั้งว่า “ชีอะห์อิหม่ามสิบสองเอาท่านอาลีและลูกหลานมาบังหน้า”
สรุปคดีของ ศอบีฆ คือ การก่อฟิตนะห์ด้วยการแสวงหาการตีความอัลกุรอานเกี่ยวกับอายะห์มุตะชาบิฮาต หรือ อายะห์ที่สื่อความหมายได้หลายนัยยะ ไม่ใช่การสอบถามความรู้ทั่วไปดั่งที่ชีอะห์บิดเบือน
นอกจากนั้นแล้วในบทความจากเว็บยอมใหญ่ ยังได้แสดงบันทึกเหตุการณ์เรื่องนี้อีกหลายบท แต่ไม่ยอมแปลความหมาย ได้แต่นำมาแสดงเฉยๆ เราจะรอดูว่า เขาจะแปลหรือไม่ และจะแปลอย่างไร แต่เราหวังว่า พวกเขาคงพัฒนาตนเองให้เป็นคนโกหกแบบมืออาชีพหน่อย ไม่เช่นนั้นคงขายขี้หน้าอุลามาอ์ชีอะห์แย่เลย
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.