ชีอะห์พยายามที่จะสร้างความสั่นคลอนให้แก่อะกีดะห์ของบรรดามุสลิม ด้วยการนำเรื่องราวใดๆที่พวกเขาเห็นว่าจะโน้มน้าวความรู้สึกของบรรดาผู้คนให้คล้อยตามได้ โดยไม่คำนึงว่า เรื่องที่เขานำมาเสนอนั้นจะถูกหรือผิดอย่างใด หรือบางครั้ง ก็ด้วยกับรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่พวกเขานำมาอ้างอิงนั้นเป็นเรื่องอุปโลกน์ หรือรู้ทั้งรู้ว่า ความเชื่อและการกระทำของพวกเขาค้านกับอัลกุรอานและฮะดีษศอเฮียะห์ก็ตามที ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า หัวใจของพวกเขาถูกลั่นดาล จึงไม่ได้ยินและมองไม่เห็นสัจธรรม ดังเช่นหัวข้อเรื่องที่พวกเขาตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้คนมีความรู้สึกชิงชังต่อบรรดาศอฮาบะห์ ว่า “เมื่อสาวกหนีทัพ ทิ้งศาสดาในสนามรบ ถือว่าตกกาฟิรไหม” เป็นบทความที่ปรากฏในเว็บชีอะห์ยอมใหญ่ดังนี้
....................................................................................................
ส่วน เรื่องราวของสงครามฮุเนนและการหนีทัพของบรรดามุสลิมในยามนั้น ของให้ย้อนกลับไปอ่าน อัลญัมอุศศอฮีฮัยน์ ของอัลฮะมีดีย์ และซีเราะตุลฮุลลียะฮ์๓/๑๒๓
ใน ส่วนของการหนีทัพของพวกเขาในสงครามอุฮุดนั้น มันเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ต้องตำหนิ!บรรดานักประวัติศาสตร์ทั่วไป เช่น อะบี อัลฮะดีด รับรายงานมาจากครูของท่าน อะบีญะอ์ฟัร อัลอิสกาฟีย์ ได้กล่าวไว้ใน ชะเราะฮ์นะฮ์ญุลฯ ๑๓/๒๗๘ พิมพ์โดยดารุ อิห์ยาอุตตุรอษ อัลอะรอบีย์ ว่า บรรดามุสลิมกลุ่มใหญ่พากันหนีทัพกระทั่งไม่มีใครอยู่กับท่านนบี(ศ)เลย นอกจาก ๔ คนเท่านั้น คือ อะลี, ซุเบร, ฏ็อลหะฮ์ และอะบูดิญานะฮ์(๒๙)
อะ บูอัลฮะดีดในชะเราะฮ์นะฮ์ญุลฯ ๑๔/๒๕๑ อิบนุศิบาฆ อัลมาลิกีย์ ในอัลฟุซูลุลมุฮิมมะฮ์๓๔ และนักปราชญ์ท่านอื่นกล่าวอีกว่า ในวันนั้นมีสุรเสียงดังมาจากฟากฟ้า ซึ่งไม่มีใครเห็นใครตะโกน เป็นเสียงเรียกซ้ำๆว่า لا سيف إلا ذو الفقار، ولا فتى إلا علي “หาใช่ดาบไม่ นอกจากซุลฟิกอร หาใช่คนหนุ่มไม่ นอกจากอะลี”
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ถูกถามถึงเรื่องนี้ ท่านกล่าวว่า นี่คือเสียงของญิบรออีล(ตามสำนวนบันทึกของอะบูอัลฮะดีด)ดังนั้น อะลีจะมีอยู่ในทุกสมรภูมิที่ได้รับการสนับสนุนจากอัลลอฮ์ และได้รับชัยชนะโดยมวลมะลาอิกะฮ์
มุฮัมมัด บิน ยูซุฟ อัลกันญีย์ อัลกุรชีย์ ได้บันทึกไว้ใน “กิฟายะตุฏฏอลิบ” บทที่ ๒๗ โดยสารบบผู้รายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน มัสอูด กล่าวว่า : ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวว่า “ไม่ ว่าคราใดที่อะลีถูกส่งออกไปรบ ฉันจะเห็นญิบรออีลอยู่ด้านขวามือ และมีกาอีลอยู่ด้านซ้ายมือ ของเขาเสมอ แล้วจะมีเมฆเคลื่อนมาเป็นร่มเงาให้แก่เขา จนกระทั่งอัลลอฮ์ทรงประทานชัยชนะ ให้แก่เขา”
อิมามฮาฟิซ อันนะซาอีย์ ในหนังสือ “คอศออิศุลอิมามอะลี(อ)” หน้า ๘ พิมพ์โดยสำนักอัต ตะก็อดดุม กรุงไคโร บันทึกโดยสารบบนักรายงานจาก ฮุบัยเราะฮ์ บิน ฮะดีม กล่าวว่า มีประชาชนมาชุมนุมอยู่กับท่านฮะซัน บิน อะลี(อ)ขณะนั้นเขาได้คาดผ้าสีดำที่ศีรษะ เนื่องจากบิดาของเขาเสียชีวิต เขากล่าวว่า เมื่อวานนี้ พวกท่านกล่าวว่า บุรุษคนหนึ่ง ไม่มีใครในบรรพชนรุ่นแรกจะเป็นเลิศนำหน้าเขา และไม่มีใครในอนุชนรุ่นหลังจะเป็นเลิศเท่าเทียมเขา แท้จริงท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า แน่นอน วันพรุ่งนี้ ฉันจะมอบธงรบให้แก่บุคคลหนึ่ง ซึ่งเขารักในอัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ และอัลลอฮ์และศาสนทูตแห่งพระองค์ก็ทรงรักเขา ญิบรออีลจะร่วมต่อสู้อยู่ทางขวามือ และมีกาอีลจะอยู่ทางซ้ายมือของเขา หลังจากนั้นธงรบของเขาจะไม่ถอยกลับ จนกระทั่งอัลลอฮะให้ชัยชนะแก่เขา...
ใช่ แล้ว ชัยชนะนั้น มีความผูกพันอยู่กับธงและดาบของอิมามอะลี(อ) เป็นอันว่า ชัยชนะที่ถูกประทานให้แก่บรรดามุสลิมในทุกสนามรบที่มีอะลีลงไปร่วม จนกระทั่งท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ศาสนานี้จะยืนหยัดอยู่มิได้ และไม่สามารถยืนหยัดอยู่ เว้นแต่ต้องอาศัยดาบของอะลี(อ)
…………………………………………………………………
หัวข้อเรื่องประกาศเจตนารมณ์ของชีอะห์ ผู้เขียนบทความนี้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า เขาต้องการสื่อและโน้มน้าวให้ผู้อ่านมีความรู้สึกคล้อยตามพวกเขาเช่นไร ยิ่งได้อ่านเนื้อหาของบทความนี้ด้วย ก็ยิ่งชัดเจนว่า พวกเขาต้องการให้บรรดาผู้คนมีความรู้สึกชิงชังบรรดาศอฮาบะห์ ถึงขนาดอาจหาญ ตั้งเป็นคำถามให้ผู้คนตัดสินศอฮาบะห์ว่า เป็นกาฟิร
หากแต่ผู้ที่มั่นคงในอะกีดะห์อิสลามียะห์ ตามคำสอนของอัลกุรอานและฮะดีษศอเฮียะห์ ย่อมไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกเขาอย่างแน่นอน
เรื่องของดาบซุ้ลฟิกอร และประกาศิตเทิดเกียรติท่านอาลีนั้น เราได้วิเคราะห์ตัวบทหลักฐานไว้ก่อนแล้ว ในหัวข้อเรื่อง ซุ้ลฟิกอร ดาบกายสิทธิ์ ประกาศิตจากฟากฟ้า ท่านสามารถติดตามอ่านได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=179
ส่วนเรื่องของสถานการณ์ในสงครามอุฮุด ดั่งที่ชีอะห์ได้ตั้งเป็นคำถามตามหัวข้อเรื่องนั้น เราจะตอบข้อความของชีอะฮ์ด้วยตัวบทหลักฐานจากอัลกุรอานดังนี้
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
إنَّ الَّذِيْنَ تَوَلَّوا مِنْكُمْ يَوْمَ التَقَى الجَمْعَانِ إنَّمَا اسْتَزَلَّهُمُ الشَيْطَانُ بِبَعْضِ مَا كَسَبُوا وَلَقَدْ عَفَا اللهُ عَنْهُمْ إنَّ اللهَ غَفُوْرٌ حَلِيْمٌ
“แท้จริงบรรดาผู้ซึ่งหันหนีในหมู่พวกเจ้าในวันเผชิญหน้าของสองกลุ่ม (การเผชิญหน้าของกองกำลังมุสลิมและกองกำลังของพวกมุชริกในสงครามอุฮุด) อันที่จริงแล้วชัยตอนได้ทำให้พวกเขาเผลอไป ด้วยบางสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้ และแน่นอนว่า อัลลอฮ์ได้ให้อภัยแก่พวกเขาแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยและผู้ทรงขันติ” ซูเราะห์ อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 155
และเกี่ยวกับสงครามฮุนัยน์ นั้นอยากให้นักวิชาการชีอะห์ทำความเข้าใจเสียใหม่ แต่หากว่าไม่สันทัดภาษาอาหรับ ก็ขอใช้ภาษาไทยจำแนกให้ได้เข้าใจว่า ระหว่างคำว่า ทัพแตก กับคำว่า แตกทัพ นั้นมีความหมายไม่เหมือนกัน
สงคราฮุนัยน์ เกิดขึ้นในปีที่ 8 ฮิจเราะห์ศักราช ในขณะที่กองทัพมุสลิมมีนักรบจำนวนเรือนหมื่น และฝ่ายกุฟฟารมีเพียงสี่พันคนเท่านั้น แต่ทัพมุสลิมได้แตกระส่ำในช่วงแรก เมื่อตั้งหลักได้ก็รวมกำลังกันต่อสู้ใหม่จนได้รับชัยชนะ และนี่เป็นเหตุกาณ์ ทัพแตก ไม่ใช่ แตกทัพ หรือ หนีรบ ดั่งที่ชีอะห์ได้ใส่ร้ายบรรดาศอฮาบะห์
พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
لَقْدْ نًصًرًكُمُ اللهُ فِي مَوَاطِنَ كَثِيْرَةٍ وَيَوْمَ حُنَيْنٍ إِذْ أَعْجَبَتْكُمْ كَثْرَتُكُمْ فَلَمْ تُغْنِ عَنْكُمْ شَيْئاً وَضَاقَتْ عَلَيْكُمُ الأرْضُ بِمَا رَحُبَتْ
“แน่นอนว่า อัลลอฮ์ได้ให้ความช่วยเหลือพวกเจ้าในสมรภูมิต่างๆมากมาย และในวันสงครามฮุนัยน์นั้น ขณะที่จำนวนมากของพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าชะล่าใจ แต่มันก็ไม่เพียงพอแก่พวกเจ้าแต่อย่างใด และแผ่นดินได้แคบแก่พวกเจ้า ทั้งๆมันกว้าง แต่พวกเจ้าก็ตะกายหนีกัน (ซูเราะห์อัตเตาบะห์อายะห์ที่ 25)
อายะห์ข้างต้นนี้พระองค์อัลลอฮ์ทรงทบทวนเหตุการณ์ของสงครามฮุนัยน์ขณะทัพแตกในช่วงแรก ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์เปรียบความโกลาหลว่า ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่มีแผ่นดินจะอยู่ จนต้องตะกายหนี แต่เมื่อตั้งสติได้ก็รวมกำลังกันต่อสู้ ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงประทานความมั่นคงในจิตใจให้แก่ท่านรอซูลและบรรดาทหารมุสลิม อีกทั้งยังได้ส่งมะลาอิกะห์มาร่วมรบในสงครามนี้ด้วย
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
ثُمَّ وَلَّيْتُمْ مُدْبِرِيْنَ ثُمَّ أَنْزَلَ اللهُ سَكِيْنَتَهُ عَلى رَسُوْلِهِ وَعَلى المُؤْمِنِيْنَ وَأنْزَلَ جُنُوْداً لَمْ تَرَوْهَا وَعَذَّبَ الَّذِيْنَ كَفَرُوا وَذَلِكَ جَزَاءُ الكَافِرِيْنَ
“และพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงประทานความมั่นคงในจิตใจแก่ศาสนทูตของพระองค์และแก่บรรดาผู้ศรัทธา (หลังจากนั้นจึงได้ผนึกำลังต่อสู้ใหม่) อีกทั้งได้ส่งทหารกลุ่มหนึ่งลงมา ซึ่งพวกเจ้ามองไม่เห็น และได้ทรงลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ดังกล่าวนี้แหละเป็นการตอบแทนแก่บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธา” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 26
ในเมื่ออัลกุรอานยืนยันสถานภาพของศอฮาบะห์เกี่ยวกับสงครามอุฮุด และสงครามฮุนัยน์ที่ค้านกับความเชื่อของเหล่าชีอะห์ ทำให้เราแปลกใจเป็นยิ่งนักว่า ทำไมอะกีดะห์ของบรรดาลูกหลานนบีจึงสวนทางกับอัลกุรอานเช่นนี้ ทั้งๆที่พวกเขายืนยันกันนักไม่ใช่หรือว่า
لَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الحَوْضَ
“ทั้งสอง (อัลกุรอานและอะห์ลุ้ลบัยต์) จะไม่แยกจากกัน จนกว่าจะถึงวันที่กลับไปพบกับฉันที่สระน้ำ”
ในเมื่ออะกีดะห์ของลูกหลานนบี ไม่สวนทางกับอัลกุรอาน แต่ความเชื่อของเหล่าชีอะห์ได้สวนทางกับอัลกุรอาน ดังนั้นจึงเป็นบทพิสูจน์ว่า อะกีดะห์ของเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองไม่ใช่อะกีดะห์ของลูกหลานนบีอย่างแน่นอน
และเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งในคำพูดของเราที่กล่าวมาหลายครั้งว่า เหล่าชีอะห์ได้แอบอ้างเอาลูกหลานท่านนบีมาบังหน้า และถ้าเราถามว่า อะกีดะห์ที่สวนทางกับอัลกุรอานตกเป็นกาเฟรไหม จะมีอุละมาอ์ชีอะห์คนไหนตอบ
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.