อาจารย์ครับ มีคนอ้างฮะดีษซอแฮะห์มุสลิม เขาบอกว่าเป็นหลักฐานเฝ้ากุโบร์ จริงเท็จอย่างไรขออาจารย์ตรวจสอบให้หน่อยครับ
ข้อความที่พี่น้องส่งมาให้ตรวจสอบมีดังนี้
……………………………………………………………………………………………………………………..
“และอีกหลักฐานหนึ่ง ที่ยืนยันว่าผู้ตายจะได้รับความอบอุ่นจากการเฝ้ากุโบร์ด้วยการอ่านอัลกรุอ่าน และการรำลึกต่ออัลลอฮ์และบทพรของเขา
ซอฮาบะท่านนบี(ซล)อีกคนหนึ่งที่ชื่อว่า อัมรุ อิบนุอาศ(รด)ได้กล่าวว่า แท้จริงผู้ตายจะได้รับความอบอุ่นด้วยบรรดาผู้ที่ติดตามผู้ตายหลังจากการฝังผู้ตายไปแล้ว และจากรายงานของท่านมุสลิมในหนังสือหะดิษซอเหียะของท่าน จาก ทานอับดุรรอมานกล่าวว่า เรามา(เยียมท่าน อัมรุ อิบนุอาศ ในขณะที่ท่านกำลังจะถึงแก่ความตาย ท่านอับดุลรอมานร้องให้นานมาก และท่านก็หันเข้าหาฝาบ้าน และลูกของท่านก็กล่าวกับบิดาว่า “อะไรที่ทำให้ท่านต้องร้องให้ โอ้พ่อของข้า..ก็ท่านรอซุ้ล(ซล)ได้บอกท่านแล้วมิใช่หรือ...ด้วยเช่นนั้น ”(ด้วยความดีของท่าน)...
ซึ่งในขณะนั้นท่านอัมรุอิบนุอาศ ได้พูดว่า ....แท้จริงสิ่งที่ดีที่เราเตรียมไว้คือ การปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์และมูฮำมัดเป็นรอซุ้ลของอัล ลอฮ์ และข้าอยู่บน 3ขั้นนี้
ขั้นที่1
แท้ จริงเจ้าเห็นกับข้ามาแล้วว่าไม่มีใครสักคนที่จะทำให้มีความโกรธต่อทานรอ ซุ้ล(ซล)มากกว่าข้า และข้าไม่ชอบที่จะมีตัวข้า ว่าแท้จริงข้าสามารถเอาชนะ ท่านรอซู้ล(ซล)ได้และ ข้าสามารถที่จะฆาท่านรอซุ้ลได้ และถ้าหากว่าข้าเกิดตายในจังหวะนั้นแน่นอนข้าจะต้องเป็นชาวนรก
ขั้นที่2
และ เมื่ออัลลอฮ์(ซบ)ได้ทำให้มีอิสลามบนในหัวใจของข้า และข้าได้พบกับท่านร้อซุ้ลและข้ากล่าวว่า ท่านร้อซุลท่านจงแบมือมายังข้า และข้าจะให้สัญญาแก่ท่าน(ในการเข้ารับอิสลาม) และท่านร้อซุ้ล(ซล)ก็แบมือขวายื่นมาและข้าก็กำมือของข้า ไว้(คือยังไม่จับมือให้สัญญา)ท่านรอซุ้ลจึงกล่าวว่า มีเรื่องอะไรอีกให้กับเจ้า (คือการที่ท่านไม่จับมือ)ข้ากล่าวว่า ข้าจะตั้งเงื่อนไขในการเข้ารับอิสลาม ท่านรอซุ้ลจึงกล่าวว่า อะไรคือเงื่อนไขของเจ้า ข้าตอบว่า คือข้าต้องได้รับอภัย ท่านรอซุ้ลกล่าวว่า เจ้าไม่เคยรู้ว่าอัลอิสลาม(หมายถึงคนเพิ่งขับรับอิสลามใหม่)ทำลายการกระทำ ที่ผ่านมา(คือลบล้างบาปก่อนหน้านั้น) และแท้จริงการอพยพ(จากมักกะไปมาดีนะ)ก็คือการทำลายการกระทำที่ผ่านมา และการทำฮัจย์ ก็ทำลายการกระทำที่ผ่านมา และท่านอัมรุอิบนุอาศกล่าวว่า...ไม่มีใครสักคนที่ข้ารักมากกว่าท่านร้อซุ้ล และไม่มใครที่จะยิ่งใหญ่กว่าท่านร้อซุ้ล และในสายตาของข้า และข้าเองก็ไไม่มีความสามารถที่จะมองเห็นความยิ่งใหญ่ของท่านรอซุ้ลได้ และถ้าหากเจ้าจะถามข้า ให้บอกถึงลักษณะของท่านรอซุล แน่นอนข้าไม่มีความสามารถทำได้ เพราะแท้จริงข้านั้นไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น(ความยิ่งใหญ่)ในสายตาของ ข้า จากท่านรอซุ้ลได้และหากข้าได้ตายในสภาพนั้น แน่นอนความหวังของข้า จะไดเป็นคนหนึ่งของชาวสวรรค์
ขั้นที่3
และ ข้าได้ปกครองหลายๆอยางเช่นปกครองประเทศและเมืองมิศรู (ประเทศอิยิปต์ปัจจุบัน)และข้าก็ไม่รู้ถึงสภาพที่แท้จริงของข้า เมื่อข้าตาย แล้ว และอย่าให้ผู้หญิงที่ถูกจ้างให้มาร้องให้มาอยู่เพื่อนข้าที่กุโบร์ และอย่าให้มีไฟ(หมายถึงจุดตะเกียง) อยู่เป็นเพื่อนข้า และเมื่อ พวกเจ้าฝังข้า เสร็จแล้ว ก็จงเทดินลงบนตัวข้า หลังจากนั้น พวกเจ้าจงยืนรอบๆหลุมศพของข้า (ในระยะขนาดประมาณเชือดอูฐและแจกเนื้อ(เสร็จ) จนกระทั่ง(เสร็จ)ข้า ได้รับคววามอบอุ่นด้วยพวกเจ้า และข้าจะดูสิ่งที่ข้าจะพิสูจน์กับบรรดารอซุ้ลของพระเจ้า และท่านรอซุ้ลได้ชี้แนะว่า แท้จริงผู้ตายจะได้รับความอบอุ่น(อุ่นใจ)ด้วยกับบรรดาญาติหรือผู้ที่มาอยู่ ข้างกุโบร์ของเขา(ผู้ตาย) และผู้ตายจะได้มีความสุขใจอบอุ่นใจเพราะการมาอยู่ข้างๆของพวกเขากับการงาน ที่ดี
นี่คือหลักฐานหนึ่งที่ชี้ให้เห็นชนสลัฟชี้ให้เหตุผลที่อนุญาตให้ทำการอัลกรุอ่านในขณะเฝ้ากุโบร์ได้
รายงานโดย อีม่ามมุสลิม ในหนังสือ ซอเหียะของอิม่ามมุสลิม และดูอัรรูห์ ของอิบนุ กอยยิม อัลเอาซีย์ หน้า 31-32”
……………………………………………………………………………………………………………………..
ผมได้อ่านข้อความที่ส่งมาให้นี้หลายวันแล้ว แต่อยู่ในช่วงเดือนรอมฏอนที่ผมมีภารกิจมากมายจนไม่มีเวลาชี้แจง ต้องขอมะอัฟต่อผู้ถามด้วย
ข้อความที่ส่งมาตามที่ปรากฏข้างต้นนี้ มีถ้อยคำที่เพิ่มเติมและเบือนจากบันทึกต้นฉบับจริงโดยเฉพาะในท่อนท้าย ซึ่งผมขอนำเอาฮะดีษต้นฉบับจากศอเฮียะห์มุสลิมมาเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้
عَنِ ابْنِ شَمَاسَةَ الْمَهْرِيِّ، قَالَ حَضَرْنَا
عَمْرَو بْنَ الْعَاصِ وَهُوَ فِي سِيَاقَةِ الْمَوْتِ . فَبَكَى طَوِيلاً وَحَوَّلَ وَجْهَهُ إِلَى الْجِدَارِ فَجَعَلَ ابْنُهُ يَقُولُ يَا أَبَتَاهُ أَمَا بَشَّرَكَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِكَذَا أَمَا بَشَّرَكَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِكَذَا قَالَ فَأَقْبَلَ بِوَجْهِهِ . فَقَالَ إِنَّ أَفْضَلَ مَا نُعِدُّ شَهَادَةُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ إِنِّي قَدْ كُنْتُ عَلَى أَطْبَاقٍ ثَلاَثٍ لَقَدْ رَأَيْتُنِي وَمَا أَحَدٌ أَشَدَّ بُغْضًا لِرَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِنِّي وَلاَ أَحَبَّ إِلَىَّ أَنْ أَكُونَ قَدِ اسْتَمْكَنْتُ مِنْهُ فَقَتَلْتُهُ فَلَوْ مُتُّ عَلَى تِلْكَ الْحَالِ لَكُنْتُ مِنْ أَهْلِ النَّارِ فَلَمَّا جَعَلَ اللَّهُ الإِسْلاَمَ فِي قَلْبِي أَتَيْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم فَقُلْتُ ابْسُطْ يَمِينَكَ فَلأُبَايِعْكَ . فَبَسَطَ يَمِينَهُ - قَالَ - فَقَبَضْتُ يَدِي . قَالَ " مَا لَكَ يَا عَمْرُو " . قَالَ قُلْتُ أَرَدْتُ أَنْ أَشْتَرِطَ . قَالَ " تَشْتَرِطُ بِمَاذَا " . قُلْتُ أَنْ يُغْفَرَ لِي . قَالَ " أَمَا عَلِمْتَ أَنَّ الإِسْلاَمَ يَهْدِمُ مَا كَانَ قَبْلَهُ وَأَنَّ الْهِجْرَةَ تَهْدِمُ مَا كَانَ قَبْلَهَا وَأَنَّ الْحَجَّ يَهْدِمُ مَا كَانَ قَبْلَهُ " . وَمَا كَانَ أَحَدٌ أَحَبَّ إِلَىَّ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَلاَ أَجَلَّ فِي عَيْنِي مِنْهُ وَمَا كُنْتُ أُطِيقُ أَنْ أَمْلأَ عَيْنَىَّ مِنْهُ إِجْلاَلاً لَهُ وَلَوْ سُئِلْتُ أَنْ أَصِفَهُ مَا أَطَقْتُ لأَنِّي لَمْ أَكُنْ أَمْلأُ عَيْنَىَّ مِنْهُ وَلَوْ مُتُّ عَلَى تِلْكَ الْحَالِ لَرَجَوْتُ أَنْ أَكُونَ مِنْ أَهْلِ الْجَنَّةِ ثُمَّ وَلِينَا أَشْيَاءَ مَا أَدْرِي مَا حَالِي فِيهَا فَإِذَا أَنَا مُتُّ فَلاَ تَصْحَبْنِي نَائِحَةٌ وَلاَ نَارٌ فَإِذَا دَفَنْتُمُونِي فَشُنُّوا عَلَىَّ التُّرَابَ شَنًّا ثُمَّ أَقِيمُوا حَوْلَ قَبْرِي قَدْرَ مَا تُنْحَرُ جَزُورٌ وَيُقْسَمُ لَحْمُهَا حَتَّى أَسْتَأْنِسَ بِكُمْ وَأَنْظُرَ مَاذَا أُرَاجِعُ بِهِ رُسُلَ رَبِّي
อิบนุซุมาซะห์ อัลมะห์รี่ย์ รายงานว่า เราไปเยี่ยมอัมร์ อิบนุลอาศ ในช่วงที่เขาเจ็บใกล้เสียชีวิต เขาร้องไห้เป็นเวลานาน โดยหันหน้าของเขาเข้าข้างฝา แล้วลูกชายของเขาได้กล่าวกับเขาว่า โอ้พ่อครับ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้บอกข่าวดีในเรื่องนี้กับท่านหรือ ? ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้บอกข่าวดีให้ท่านทราบในเรื่องนี้เลยหรือ ? อิบนุ ซุมาซะห์ กล่าวว่า อัมร์ได้หันหน้ากลับมาแล้วกล่าวว่า ที่ดีที่สุดในสิ่งที่เราต้องทบทวนตัวเอง คือการปฏิญานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ และ (เรื่องราวในชีวิต) ฉันนี้ได้ผ่านพ้นมาแล้วสามช่วงคือ ฉัน พบว่าตัวฉันเองนั้น เคยเป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดที่ท่านรอซูลเคยโกรธมากไปกว่าฉันอีกแล้ว และฉันก็ไม่ปรารถนาสิ่งใดเสียยิ่งกว่าการที่จะเอาชนะท่านแล้วก็ฆ่าท่าน ถ้าหากฉันตายตอนนั้น ฉันต้องเป็นชาวนรกอย่างแน่นอน แต่อัลลอฮ์ได้ให้อิสลามประจักษ์ในหัวใจฉัน, ฉันจึงได้ไปหา ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวกับท่านว่า ยื่นมือของท่านมาเถอะ เพื่อฉันจะได้ให้สัตยาบันกับท่าน แล้วท่านก็ยื่นมือของท่านมา แต่ฉันกลับหดมือของฉันกลับ ท่านกล่าวว่า “มีอะไรหรืออัมร์เอ๋ย” ฉันกล่าวว่า ฉันต้องการตั้งเงื่อนไขสักข้อหนึ่ง ท่านถามว่า “เจ้าจะตั้งเงื่อนไขอะไรหรือ ?” ฉันกล่าวว่า ต้องให้อภัยโทษแก่ฉัน ท่านตอบว่า “เจ้า ไม่รู้หรือว่าแท้จริงอิสลามนั้นลบล้างความผิดก่อนหน้านี้ และการอพยพก็ลบล้างความผิดก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน อีกทั้งการทำฮัจญ์ก็ลบล้างความผิดก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน” ดัง นั้นจึงไม่มีผู้ใดที่ฉันจะรักไปยิ่งกว่าท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อีกแล้ว และไม่มีผู้ใดสูงส่งในสายตาของฉันมากกว่าท่านอีกแล้ว ถ้าฉันถูกถามเพื่อให้พรรณาถึงลักษณะของท่าน ฉันก็ไม่สามารถจะบอกได้ครบถ้วน เพราะฉันไม่กล้ามองหน้าท่านอย่างเต็มตา และถ้าฉันตายตอนนั้น ฉันก็หวังว่า ฉันจะเป็นหนึ่งในชาวสวรรค์ แต่หลังจากนั้นมา เราได้ปกครองดูแลสิ่งต่างๆมากมาย โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า สภาพของฉันจะเป็นเช่นไร (ว่าจะมีความบอกพร่องในหน้าที่ความรับผิดชอบนั้นหรือไม่)
ถ้า ฉันตาย เจ้าก็อย่าให้มีการคร่ำครวญและอย่าให้มีคบไฟ (พิธีไว้ทุกข์ของญาฮิลียะห์) และเมื่อพวกเจ้าฝังร่างของฉัน ก็จงกลบร่างฉันเพียงให้ดินเสมอพื้น และพวกเจ้าจงยืน (ขอดุอาอ์ตัสบีต) รอบหลุมศพของฉัน ภายในเวลาเท่ากับเชือดอูฐและชำแหละเนื้อมันแจกจ่าย เพื่อฉันได้รับความมั่นใจด้วยการขอดุอาอ์ของพวกเจ้า แล้วดูซิว่าฉันจะตอบคำถามแก่ทูตแห่งองค์อภิบาลของฉันอย่างไร (ศอเฮียะห์มุสลิม หมวดที่ 1 กิตาบุ้ลอีหม่าน บทที่ 56 เรื่อง อิสลามลบล้างความผิดก่อนหน้านี้และการอพยพกับการทำฮัจญ์ก็เช่นเดียวกัน ฮะดีษเลขที่ 220)
จะเห็นได้ว่าในท่อนท้ายของฮะดีษตามที่เขาอ้างมีถ้อยคำที่เพิ่มเติม และบิดเบือนวัตถุประสังค์ของฮะดีษอย่างชัดเจนตามที่ขีดเส้นใต้ไว้ทั้งคู่ เพื่อให้ท่านได้อ่านเปรียบเทียบ
โดยข้อเท็จจริงแล้ว คำพูดของอัมร์ อิบนุ้ลอาศ ในท่อนท้ายของฮะดีษบทนี้พูดเรื่องการขอดุอาตัสบีตให้แก่ผู้ตาย ภายในระยะเวลาเท่ากับเชือดอูฐและชำแหละเนื้อมันแจกจ่าย ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่มะลาอิกะห์ของอัลลอฮ์ มาสอบถามผู้ตาย
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าท่านอัมร์ อิบนุลอาศ มิได้สั่งเสียในเรื่องที่เลยเถิดไปจากคำสอนของท่านนบีเลย แต่ผู้แปลได้เพิ่มข้อความและบิดเบือนเพื่อใช้อ้างเป็นหลักฐานตามอารมณ์ของตนเองเท่านั้น
อาจมีผู้สงสัยว่าข้อความทั้งสองเป็นฮะดีษคนละบทกันหรือเปล่า เนื่องจากข้อความที่เขานำมาอ้างกล่าวว่า เป็นเรื่องราวของ อัมร์ อิบนุลอาศ ที่รายงานโดย อับดุลเราะห์มาน แต่ที่ผมนำมาแสดงนี้เป็นคำรายงานของ อิบนุซุมาซะห์ อัลมะห์รี่ย์
ขอเรียนชี้แจงว่าเป็นฮะดีษบทเดียวกัน และผู้รายงานคนเดียวกันคือ อิบนุซุมาซะห์ อัลมะห์รี่ย์ มีชื่อจริงว่า อับดุลเราะห์มาน อิบนุซุมาซะห์ อัลมะห์รี่ย์ เป็นตาบีอีนรุ่นกลาง มีฉายาว่า อบู อัมร์
ดังนั้นฮะดีษในศอเฮียะห์มุสลิมบทนี้ จึงไม่ใช่หลักฐานเรื่องเฝ้ากุโบร์หรืออ่านอัลกุรอานที่กุโบร์ตามที่กล่าวอ้าง ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครองพวกเราได้พ้นจากการบิดเบือนและการกล่าวเท็จด้วยเถิด
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.