ประการที่ 1
หัวข้อที่ตั้งว่า “วิภาษแถลงการณ์ของ อ.ฟารีด เรื่องกำหนดวันอีดทั้งสอง” นั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำพูดของผมมิได้เป็นแถลงการณ์ไม่ว่าในนามส่วนตัวหรือในนามองค์กร แต่เป็นการอภิปรายและถามตอบสดในงานประจำปีของมัสยิดนูรุ้ลฮุดา บ้านควน จ.พังงา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552
ผู้อภิปรายในงานครั้งนี้ประกอบด้วย อ.มุรีด ทิมะเสน อ.อะห์หมัด ก้อพิทักษ์ โดยมีผม (ฟารีด เฟ็นดี้) เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย และหลังจากการอภิปรายจบ ก็มีพี่น้องถามคำถามมากมาย และหนึ่งในคำถามนั้นคือเรื่อง “การเข้าเดือนออกเดือน” และผู้อภิปรายทั้งสองท่านได้โยนมาให้ผมเป็นผู้ตอบคำถามนี้
ดังนั้นข้อเท็จจริงคือ การตอบคำถามสด มิได้เป็นแถลงการณ์ดังที่ผู้วิพากษ์กล่าวอ้าง
ประการที่ 2
แม้จะเป็นการตอบคำถามสดด้วยปากเปล่า แต่ผมก็ยินดีรับผิดชอบทุกถ้อยคำ ไม่กลับคำ และขอยืนยันตามคำพูดที่ได้เคยพูดไว้เหมือนเดิม
ประเด็นหลักของการตอบคำถามในเรื่องนี้คือ ชี้แจงและอธิบาย “ฮะดีษกุรัยบ์” โดยกล่าวว่า แต่ละฝ่ายต่างก็อ้างฮะดีษกุรัยบ์เป็นหลัก โดยนำเอาคำของอิบนิอับบาสที่ว่า “อย่างนี้แหละที่ท่านรอซูลเคยใช้พวกเรา” ไปอ้างอิงตามทัศนะของตนเอง แต่ก็ไม่สามารถหาฮะดีษมาอธิบายประกอบได้
ในประเด็นนี้ ผู้วิพากษ์ก็ไม่ได้ชี้แจง หรือนำเอาฮะดีษมาอธิบายประกอบฮะดีษกุรัยบ์ เพื่อหักล้างคำพูดของผม
ผมถามหาหลักฐาน แต่ผู้วิพากษ์กลับนำคำฟัตวาบางส่วนขององค์กรซาอุดีฯมาแสดงแทน ดูเหมือนว่า ผู้วิพากษ์ไม่เข้าใจว่า อะไรคือหลักฐานทางศาสนา
ประการที่ 3
ผู้วิพากษ์กล่าวว่า “ซึ่งมีทัศนะความเห็นเป็นคนละเรื่องกับที่ อ.ฟารีด พยายามนำเสนอในขณะที่มีการเรียกร้องให้ตามซาอุฯ” ขอชี้แจงว่า ข้อความเหล่านี้คือการกล่าวเท็จแก่ผม เนื่องจากตลอดระยะเวลาของการทำงานเผยแพร่นั้น ผมไม่เคยเรียกร้องให้ตามประเทศใดหรือยึดติดกับตัวบุคคลใดเป็นการเฉพาะ หากผู้วิพากษ์เป็นผู้มีความรู้ ก็ย่อมทราบดีว่าหลักฐานทางศาสนานั้นคือ อัลกุรอาน, ฮะดีษหรือซุนนะห์, ซุนนะห์ของบรรดาคอลีฟะห์, และร่องรอยจากศอฮาบะห์ มิใช่ประเทศ
การที่เราละหมาดหันหน้าไปทางกิบละห์ หรือที่ตั้งของมัสยิดฮะรอม ก็มิได้หมายความว่า เราตามซาอุฯ แต่ตามคำสั่งที่ใช้ให้หันไปทางด้านนั้น
การที่เราถือศีลอดวันอะรอฟะห์หรือวันวุกูฟ ก็มิได้หมายความว่าเราตามซาอุฯ แต่เราตามคำสั่งของท่านนบีที่สนับสนุนให้ถือศีลอดวันอะรอฟะห์
ผมพูดเสมอว่า หากวันข้างหน้า ราชอณาจักรซาอุดิฯ ล่มสลาย บรรดามุสลิมก็ยังต้องละหมาดหันหน้าไปทางทิศเดิม และบวชซุนนะห์วันอะรอฟะห์เหมือนเดิม
ด้วยเหตุนี้ คำพูดที่ว่า ผมพยายามนำเสนอเรียกร้องให้ตามซาอุฯ จึงเป็นการกล่าวเท็จต่อผม
ประการที่ 4
ผู้วิพากษ์มิได้กล่าวถึงหลักการด้วยตัวบทหลักฐานแต่กลับเน้นถึงวิธีการ กล่าวคือ หลักการในการเข้าเดือนออกเดือนตามตัวบทหลักฐานทางศาสนา ซึ่งเรื่องนี้บรรดานักวิชาการในอดีตมีความเห็นหลากหลายดังที่ทราบ และแต่ละฝ่ายต่างก็ชี้ไปที่ฮะดีษกุรัยบ์โดยอ้างคำพูดของอิบนิอับบาสดังกล่าวข้างต้น แต่ผู้วิพากษ์กลับเสนอประเด็นใหม่ที่นักวิชาการในอดีตไม่เคยหยิบมาเป็นประเด็นการขัดแย้งในเรื่องนี้ นั่นคือ เรียกร้องให้ตามผู้นำ
จึงหมายความว่า
ถ้าผู้นำเอาเดือนทั่วโลก ผู้วิพากษ์ก็พร้อมตาม
ถ้าผู้นำตามซาอุฯ ผู้วิพากษ์ก็พร้อมตาม
ถ้าผู้นำยึดประเทศใครประเทศมัน ผู้วิพากษ์ก็พร้อมตาม
ถ้าผู้นำยึดเอาประเทศใกล้ๆกัน ผู้วิพากษ์ก็พร้อมตาม
ถ้าผู้นำยึดมัฏละอ์ ผู้วิพากษ์ก็พร้อมตาม
ถ้าผู้นำยึดระยะทางละหมาดก่อศ็อร ผู้วิพากษ์ก็พร้อมตาม
ถ้าผู้นำยึดหลักดาราศาสตร์ ผู้วิพากษ์ก็พร้อมตาม
กล่าวคือ ผู้วิพากษ์พร้อมที่จะตามผู้นำทุกกรณีใช่หรือไม่ เนื่องจากถ้อยคำในบทวิพากษ์เรียกร้องสู่วิธีการโดยให้ตามผู้นำ
ประการที่ 5
ผู้วิพากษ์ได้อ้างอิงคำฟัตวาของเชคบินบาซ ซึ่งผมหวังว่า ผู้วิพากษ์คงจะไม่อ้างเฉพาะบางกรณีที่ต้องการเท่านั้น เนื่องจากเชคบินบาซท่านนั่งเป็นประธานคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาของซาอุดิอาราเบีย ขณะเดียวกันท่านก็มีคำฟัตวาในนามส่วนตัวอีกด้วย ดังนั้นเราจึงพบว่า บางครั้งคำฟัตวาในนามองค์กรที่มีท่านเป็นประธาน กับคำฟัตวาโดยส่วนตัวของท่านไม่ตรงกัน กรณีนี้เช่นเรื่อง การเข้าเดือนออกเดือน ที่คำฟัตวาโดยส่วนตัวของท่านปฏิเสธในเรื่อง “มัฏละอ์” และสนับสนุนให้ตามการเห็นเดือนจากทั่วโลก เนื่องจากตัวบทหลักฐานมิได้จำกัด และเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งใช้ และท่านก็ถือว่าเป็นสิ่งยอดเยี่ยมและดีที่สุด ผมจึงอยากให้ผู้วิพากษ์ให้ความเป็นธรรมแก่เชคบินบาซด้วย (รอฮิมะฮุ้ลลอฮ์)
สามารถอ่านคำฟัตวาส่วนตัวของเชคบินบาซได้ที่เวบไซด์ของท่านเอง หรือตามลิงค์ด้านล่างนี้
http://www.binbaz.org.sa/mat/20962
http://www.binbaz.org.sa/mat/406
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเชคบินบาซจะมีมุมมองเช่นใด เราก็สามารถรับฟังและพิจารณา และผมเองก็ไม่ได้เอาคำฟัตวาเหล่านี้มาเป็นหลักฐาน มิเช่นนั้นแล้วก็จะเท่ากับเป็นการเอาคำฟัตวามาชนกันเอง ที่สำคัญก็คือ เราไม่ถือว่าคำฟัตวาของท่านเป็นบัญญัติศาสนา นอกจากตัวบทหลักฐานที่ท่านนำเสนอ
ประการที่ 6
หากผู้วิพากษ์มั่นใจในคำฟัตวาของเชคบินบาซจริง เพราะเหตุใดจึงไม่เรียกร้องไปสู่การยอมรับการเห็นเดือนจากทั่วโลก เพราะเชคบินบาซฟัตวาว่า เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดและดีที่สุด
ประการที่ 7
ผู้วิพากษ์พยายามเน้นเรื่องเอกภาพ ซึ่งเรื่องนี้คงไม่มีใครปฏิเสธ แต่ขอบเขตของมันอยู่ตรงไหน, ใครเป็นผู้กำหนด เอกภาพของคนในหมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด, ประเทศ, หรือทวีป
เขตแดนระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย ที่ปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา มีเพียงลวดหนามกันไว้ สามารถชะโงกหน้าคุยกันได้ แต่เขาไม่สามารถถือศีลอดพร้อมกันได้กระนั้นหรือ
หากผู้วิพากษ์ขีดกรอบความเป็นเอกภาพของมวลมุสลิมด้วยคำว่า “ประเทศ” ก็จำเป็นต้องยืนยันด้วยหลักฐาน เพราะเราไม่สามารถเอาความรู้สึกของเรามาจำกัดหลักฐานได้
แต่เอกภาพที่อิสลามเรียกร้องคือ เอกภาพของมุสลิมโลกที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการมิใช่หรือ ? ทำไมท่านไม่เรียกร้องต่อผู้ที่ท่านเรียกว่าเป็นผู้นำให้มีเอกภาพกับพี่น้องมุสลิมทั้งโลก หรืออย่างน้อยที่สุดก็ มาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่เป็นประเทศมุสลิม
ประการที่ 8
ผู้วิพากษ์หยิบเอาคำฟัตวาบางส่วนขององค์กรในประเทศซาอุดิอาราเบียมาชี้นำให้ปฏิบัติตามผู้ที่กล่าวกันว่าเป็นผู้นำในประเทศไทย เหมือนกับต้องการให้ผู้อ่านได้เชื่อตามคำฟัตวาที่นำเสนอ หรือพูดง่ายๆว่า เรื่องนี้ให้เชื่อซาอุดีฯ แต่ข่าวการเห็นเดือนจากองค์กรประเทศซาอุดิฯเหมือนกัน กลับไม่เอา ประหลาดจริง