السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
1 มิถุนายน 2549
หลังจากที่เวปของผมล่มไประยะหนึ่ง ก็พยายามกู้กลับคืนมาได้เท่าที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ประกอบกับไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนักที่จะเข้ามาอัพเดดข้อมูล จึงทำให้ท่านสมาชิกที่ติดตามอยู่หงุดหงิดพอสมควร ต้องขอมะอัฟไว้ ณ.ที่นี้ด้วย และเมื่อต้องลงมือนับหนึ่งใหม่ก็เลยถือโอกาสเปลี่ยนโฉมหน้าของเวปใหม่ด้วย คงจะพอดูเข้าทีบ้าง หากท่านจะตำหนิติชมอย่างไรก็ยินดีรับฟังครับ
ระยะนี้มีประเด็นข่าวฮ๊อตอยู่หลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่เป็นประเด็นวิพากษ์กันมากในหมู่มุสลิม เห็นจะเป็นเรื่องพรรคการเมืองที่จะใช้ชื่อว่า พรรคมุสลิม นั่นแหละ และเมื่อมีคำว่ามุสลิมเข้าไปเกี่ยวข้องผมในฐานะที่เป็นมุสลิมคนหนึ่งก็ต้องขอมีส่วนร่วมในการวิพากษ์ด้วยอีกคน
หากท่านจำกันได้........เมื่อการเลือกตั้งใหญ่ในปี........ เคยมีพรรคการเมืองของมุสลิมเสนอตัวเข้ามาเป็นทางเลือกภายใต้ชื่อว่า พรรคสันติภาพ แม้ว่าชื่อพรรคนั้นจะไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นมุสลิมโดยตรง แต่จุดขายของพรรคก็คือ มุสลิมเป็นหัวหน้าพรรคคือท่านด็อกเตอร์ อำนวย สุวรรณกิจบริหาร นอกจากนั้นกรรมการบริหารพรรค และบรรดาผู้สมัครของพรรคก็เป็นมุสลิมที่ผมสนิทสนมรู้จักคุ้นเคยอยู่ด้วยหลายคน แต่ปรากฏว่างานการเมืองของมุสลิมภายใต้ชื่อพรรคสันติภาพนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะไม่มี ส.ส.ของพรรคได้รับการรับเลือกแม้แต่คนเดียว ไม่ทราบว่ากระสุนไม่พอสู้ หรือนโยบายไม่โดนใจชาวบ้านก็ไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานกระแสชูความเป็นมุสลิมในทางการเมืองก็เลือนหายไป
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลเองก็มีความพยายาม......... (ไม่ทราบจะใช้คำว่าพยายามเติมเชื้อหรือพยายามแก้ไข) เพราะมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้แต่ละครั้งนั้น ยิ่งเพิ่มดีกรีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น เสมือนเป็นการเอาน้ำมันไปราดกองไฟ คำว่าโจรกระจอกที่นายทักษิณเคยพูด ก็ดูจะไม่กระจอกเสียแล้ว กลับกลายเป็นปัญหาบานปลายที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นหลายฝ่ายจึงช่วยกันระดมความคิดหาทางแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน และหนึ่งในความคิดนั้นก็คือ การให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้วยตัวของพวกเขาเอง โดยผ่านเวทีทางการเมือง ซึ่งดีกว่าการยืนกันคนละขั้วกับรัฐในฐานะศัตรู
จากแนวคิดที่หลายฝ่ายกำลังคล้อยตามอยู่นี้ พลันก็มีเสียงประกาศว่าจะมีการตั้งพรรคมุสลิม และนี่คือการใช้จังหวะเกาะกระแสได้พอเหมาะทีเดียว แต่เมื่อได้ดูปูมหลังของพรรคที่กำลังเกิดขึ้นนี้หลายคนต้องร้องยี้ เพราะภาพของผู้ก่อตั้งพรรค อย่างนายพิเชฐ นั้นก็คือคนเก่าของพรรคที่ผู้คนจำนวนมากส่งเสียงขับไล่อยู่ขณะนี้ โดยเฉพาะประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาพของนายพิเชฐกับพรรคไทยรักไทย ยังแกะกันไม่ออกเลย แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่า ไม่มีพันธะใดๆต่อพรรคการเมืองที่เคยสังกัดแล้วก็ตาม
ด้วยเหตุนี้คำว่าพรรคยางอะไหล่ของไทยรักไทย จึงถูกนำมาทาบให้กับพรรคมุสลิมโดยยากที่จะหลบหลีก ตราบใดที่นายพิเชฐยังคงเป็นหัวขบวนอยู่ และที่สำคัญก็คือ มุสลิมยังโลดแล่นอยู่ในพรรคการเมืองอื่นๆ อีกไม่ใช่น้อย และเมื่อถึงฤดูการเลือกตั้ง การหาเสียงด้วยวิธีการสกปรก ด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสี จะมีขึ้นเป็นปกติ ถ้ากาเฟรด่ามุสลิม ยังพอทำเนา แต่มุสลิมด่ามุสลิมนี่ซิน่าอนาถแท้
แม้ปัจจุบันอดีตนักการเมืองอย่างนายพิเชฐจะได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมมุสลิมในฐานะเลขานุการกรรมการกลางอิสลามแล้วก็ตาม แต่ความเป็นมุสลิมในตัวเขาเพิ่งปรากฏโดยการบอกเล่าจากเจ้าตัวและคนรอบข้างเมื่อไม่นานมานี้เอง ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเกิดความคลางแคลงใจ หลายคนร้องถามว่า เขาเป็นมุสลิมหรือ และบางคนก็ถามว่า เขาเป็นมุสลิมตั้งแต่เมื่อไหร่ และบ้างก็ถามว่า เขาละหมาดเป็นไหม และบางคนถามตลกไปกว่านี้อีกคือ เขาทำสุนะหรือยัง เสียงที่กำลังวิพากษ์อยู่ขณะนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเขาทั้งในแง่ของการเป็นผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองมุสลิม หรือบทบาทของเขาในฐานะเลขานุการกรรมการกลางอิสลามฯ
แต่สิ่งที่ผมมองอาจจะเป็นประเด็นต่างจากที่หลายท่านวิจารณ์ดังๆไปแล้ว ผมมองที่คำว่า มุสลิมครับ เพราะคำนี้เป็นคำที่แสดงสถานภาพของผมและพี่น้องร่วมศาสนาของผมในประเทศไทยอีกหลายล้านคน บอกตรงๆว่า ผมไม่อนุมัติที่จะเอาสถานภาพความเป็นมุสลิมของผมและของพี่น้องของผมไปเป็นจุดขาย ท่ามกลางบรรยากาศของการเมืองน้ำเน่าเช่นนี้ ท่านอาจจะขายสิทธิ์ขายเสียง แต่ผมไม่ยอมขายชื่อและศักดิ์ศรีของความเป็นมุสลิมเด็ดขาด
และที่น่าจับตามองอีกประการหนึ่งก็คือ นักการศาสนาจะย้ายขั้วไปเป็นนักการเมืองอาชีพอีกหลายท่าน แม้ว่าอิสลามไม่ได้แยกระหว่างการเมืองการศาสนาก็จริงอยู่ แต่การเมืองที่มีศาสนากำกับหาไม่ได้เลยในเวลานี้ ฉะนั้นระหว่างการเมืองสกปรก กับศาสนาอันบริสุทธ์ ท่านครูจะคว้าอะไรนำหน้า ก็ต้องรอดูกันต่อไป
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.