ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 126
وَإذْ قَالَ إبْرَاهِيْمُ رَبِّ اجْعَلْ هَذَا بَلَداً آمِناً وَارْزُقْ أهْلَهُ مِنَ الثَّمَرَاتِ مَنْ آمَنَ مِنْهُمْ بِاللهِ وَاليَوْمِ الآخِرِ قَالَ وَمَنْ كَفَرَفَأُمَتِّعُهُ قَلِيْلاً ثُمَّ اضْطَرُّهُ إلَى عَذَابِ النَّارِ وَبِئْسَ الْمَصِيْرُ
และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า องค์อภิบาลของข้าเอ๋ย ได้โปรดทำให้เมืองนี้ปลอดภัย และทรงโปรดประทานปัจจัยแก่ผู้ที่อยู่ในเมืองนี้จากผลไม้ ในหมู่พวกเขาที่เป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก พระองค์กล่าวว่า และผู้ใดปฏิเสธศรัทธา ข้าก็จะให้เขาเสพสุขเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นข้าก็จะไล่ต้อนเขาไปสู่การลงโทษของขุมนรก มันเป็นที่กลับไปที่เลวร้ายยิ่ง
อิหม่าม อบู ญะอ์ฟัร อิบนุ ญะรีร กล่าวว่า อิบนุบัชชาร เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า อับดุรเราะห์มาน อิบนุ มะฮ์ดีย์ เล่าให้เราฟังว่า ซุฟยาน เล่าให้เราฟังจาก อบี อัสซุบัยร์ จาก ญาบิร บิน อับดิลลาฮ์ กล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إنَّ إبْرَاهِيْمَ حَرَّمَ بَيْتَ اللهِ وَأَمَّنَهُ وَإنِّي حَرَّمْتُ الْمَدِيْنَةَ مَا بَيْنَ لاَبَتَيْهَا فَلاَ يُصَادُ صَيْدُهَا وَلاَ يُقْطَعُ عِضَاهُهَا
“แท้จริงอิบรอฮีมได้ทำให้มักกะห์เป็นที่ต้องห้าม และฉันได้ทำให้มะดีนะห์เป็นที่ต้องห้ามระหว่างหินผาทั้งสองด้านนี้ ดังนั้นสัตว์ต่างๆ ในเมืองนี้จะไม่ถูกล่า และต้นไม้ของเมืองนี้จะไม่ถูกโค่น”
อิหม่ามนะซาอียะห์ ได้บันทึกฮะดีษบทนี้ไว้เช่นเดียวกันจากสายรายงานของ มูฮัมหมัด บิน บัชชาร จาก บันดาร และอิหม่ามมุสลิม ก็บันทึกฮะดีษนี้จากสายรายงานของ อบูบักร์ อิบนุ อบีชัยบะห์ จาก อัมร์ อัลนากิด ซึ่งทั้งสองสายนี้ได้อ้างคำรายงานจาก อบี อะห์หมัด อัสซุบัยรีย์ จาก ซุฟยาน อัสเซารีย์
ในศอเฮียะห์บุคอรีและมุสลิมได้บันทึกเรื่องนี้ไว้สอดคล้องกัน จากคำรายงานของ อับดุลลอฮ์ บิน เซด บิน อาศิม (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยแก่เขาด้วย) จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إنَّ إبْرَاهِيْمَ حَرَّمَ مَكَّةَ وَدَعَاهَا لأهْلِهَا وَإنِّي حَرَّمْتُ المَدِيْنَةَ كَماَ حَرَّمَ إبْرَاهِيْمُ مَكَّةَ وَإنِّي دَعَوْتُ لَهَا فِي صَاعِهَا وَمُدِّهَا بِمِثْلَى مَا دَعَا إبْرَاهِيْمُ لأهْلِ مَكَّةَ
“แท้จริงอิบรอฮีมได้ทำให้มักกะห์เป็นที่ต้องห้ามและวิงวอนขอให้แก่ชาวเมืองมักกะห์ และฉันได้ทำให้มะดีนะห์เป็นที่ต้องห้ามเช่นเดียวกับอิบรอฮีมได้ทำให้มักกะห์เป็นที่ต้องห้าม และฉันได้วิงวอนขอให้แก่ชาวเมืองมะดีนะห์ ในการชั่งตวงด้วย ศออ์และมุด เช่นเดียวกับที่อิบรอฮีมได้ขอให้แก่ชาวเมืองมักกะห์” สำนวนคำรายงานจากศอเฮียะห์ มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 2422
อิบนุ กะษีร ได้นำเอาหัวข้อเรื่องจากบุคอรี มาอธิบายประกอบ และเป็นฮะดีษที่อิบนุ มาญะห์ ได้บันทึกไว้ในสุนันของท่าน จาก มูฮัมหมัด บิน อับดิลลาฮ์ บิน นุมัยร์ จาก ยูนุส บิน บุกัยร์ จาก มูฮัมหมัด บิน อิสฮาก จาก อะบาน บิน ศอและฮ์ จาก อัลฮะซัน บิน มุสลิม บิน ยันนาก จาก ซอฟียะห์ บินติ ชัยบะห์ กล่าวว่า ฉันเคยได้ยินท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม คุตบะห์ในปีพิชิตมักกะห์ โดยท่านกล่าวว่า
يَا أيُّهَا النَّاسُ إنَّ اللهَ حَرَّمَ مَكَّةَ يَوْمَ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأرْضَ فَهِيَ حَرَامٌ إلَى يَوْمِ القِيَامَةِ لاَ يُعْضَدُ شَجَرُهَا وَلاَ يُنَفَّرُ صَيْدُهَا وَلاَ يَأْخُذُ لُقَطَتَهَا إلاَّ مُنْشِدٌ
“โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามมักกะห์ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน และเป็นที่ต้องห้ามจนถึงวันกิยามะห์ ฉะนั้นต้นไม้ของเมืองนี้จะไม่ถูกโค่น สัตว์ของเมืองนี้จะไม่ถูกล่า จะไม่มีผู้ใดเอาของที่ตกหล่นนอกจากจะตามหาเจ้าของ” สุนัน อิบนิ มาญะห์ ฮะดีษเลขที่ 3100
ฮะดีษบทนี้ถึงแม้จะมีคำรายงานที่ศอเฮียะห์ แต่หนึ่งในผู้รายงานที่ชื่อ อะบาน บิน ศอและห์ เป็นผู้รายงานที่ “ฏออีฟ” ขณะเดียวกันก็มีคำรายงานที่ศอเฮียะห์ของเรื่องนี้ถูกบันทึกในศอเฮียะห์บุคอรีด้วยดังนี้
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ أنَّ خُزَاعَةَ قَتَلُوا رَجُلاً مِنْ بَنِي لَيْثٍ عَامَ فَتْحِ مَكَّةَ بِقَتِيْلٍ مِنْهُمْ قَتَلُوْهُ فَأخْبَرَ بِذَلِكَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَرَكِبَ رَاحِلَتَهُ فَخَطَبَ فَقَالَ : إنَّ اللهَ حَبَسَ عَنْ مَكَّةَ القَتْلَ – أَوِ الفِيْلَ شَكَّ أبُو عَبْدِ اللهِ وَسَلَّطَ عَلَيْهِمْ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَالمُؤْمِنِيْنَ ألاَ وَإنَّهَا لَمْ تَحِلَّ لأَحَدٍ قَبْلِي وَلاَ تَحِلُّ لأَحَدٍ بَعْدِي ألاَ وَإنَّهَا حَلَّتْ لِي سَاعَةً مِنْ نَهَارٍ ألاَ وَإنَّهَا سَاعَتِي هَذِهِ حَرَامٌ لاَ يُخْتَلَى شَوْكُهَا وَلاَ يُعْضَدُ شَجَرُهَا وَلاَ تُلْتَقَطُ سَافِطَتُهَا إلاَّ لِمُنْشِدٍ فَمَنْ قُتِلَ فَهُوَ بِخَيْرِ النَّظَرَيْنِ إمَّا أنْ يُعْقَلَ وَإمَّا أنْ يُقَادَ أهْلُ القَتِيْلِ فَجَاءَ رَجُلٌ مِنْ أهْلِ اليَمَنِ فَقَالَ أُكْتُبْ لِي يَا رَسُوْلَ اللهِ فَقَالَ : أُكْتُبُوا لأَبِي فُلاَنٍ فَقَالَ رَجُلٌ مِنْ قُرَيْشٍ إلاَّ الإذْخِرَ يَا رَسُوْلَ اللهِ فَإنَّا نَجْعَلُهُ فِي بُيُوْتِنَا وَقُبُوْرِنَا فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إلاَّ الإذْخِرَ إلاَّ الإذْخِرَ قَالَ أبُو عَبْدِ اللهِ يُقَالُ يُقَادُ بِالقَافِ فَقِيْلَ لأبِي عَبْدِ اللهِ أيُّ شَيْئٍ كَتَبَ لَهُ قَالَ كَتَبَ لَهُ هَذِهِ الخُطْبَةَ
อบี ฮุรอยเราะห์ รายงานว่า แท้จริงคนของเผ่าคุซาอะห์ ได้สังหารชายผู้หนึ่งจาก บนีลัยซ์ ในปีพิชิตนครมักกะห์ (เพื่อแก้แค้นให้แก่คนของพวกเขาที่ถูกฆ่าตาย) โดยผู้ถูกฆ่าในครั้งนี้เป็นหนึ่งในฆาตกรที่ร่วมสังหารคนของพวกเขาด้วย ท่านนบีได้รับแจ้งข่าวเรื่องนี้ ในขณะที่ท่านอยู่บนพาหนะ (อูฐ) ของท่านแล้วได้ปราศรัยว่า
“แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงสกัดกั้นนครมักกะห์เกี่ยวกับการฆ่า – หรือ (สกัดกั้นและทำลาย) กองทัพช้าง – อบูอับดิลาฮ์ ผู้รายงานสงสัยว่าคำรายงานนี้ใช้คำใดระหว่างคำว่า “การฆ่า” กับ “กองทัพช้าง” (กองทัพช้างโดยแม่ทัพ อับรอฮะห์ ที่ยาตราทัพหมายบุกทำลายกะอ์บะห์ แต่ก็ถูกทำลายเสียก่อนอย่างย่อยยับ เป็นเหตุประทานอัลกุรอาน ดูซูเราะห์อัลฟีล)
และ อัลลอฮ์ได้ให้ รอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาผู้ศรัทธา มีอำนาจเหนือพวกเหล่านั้น จงระวังไว้เถิด เพระแท้จริง (นครมักกะห์)ไม่เคยได้รับอนุมัติแก่ผู้ใดก่อนจากฉัน และมันก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่ผู้ใดหลังจากฉันด้วย (ในการฆ่าโดยอธรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎและเงื่อนไขของศาสนา หรือการทำสงคราม) พิจารณา เถิด แท้จริงมันได้อนุมัติแก่ฉัน (เฉพาะกาล) เพียงชั่วยามของวันหนึ่งเท่านั้น (ในวันพิชิตนครมักกะห์ แต่หลังจากนั้น) จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นที่ต้องห้าม, ต้นไม้เล็กที่มีหนามก็จะไม่ถูกถอน ต้นไม้ใหญ่ก็จะไม่ถูกโค่น และของที่หล่นหายก็จะถูกตามหาเจ้าของ ฉะนั้นถ้ามีผู้ใดถูกฆ่า ก็ให้เขาพิจารณาสองทางเลือก คือถูกฆ่าให้ตายตามไปด้วย หรือไม่ก็จ่ายทดแทนให้กับครอบครัวของผู้ตาย”
ขณะนั้นมีชายชาวยะมันคนหนึ่งเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า ได้โปรดเขียนข้อความนี้ให้แก่ฉันด้วยเถิด โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านได้สั่งแก่เหล่าศออาบะห์ว่า “พวกเจ้าช่วยเขียนให้แก่ชายผู้นี้หน่อย”
มี ชายชาวกุรอยช์ผู้หนึ่ง ถามว่า ยกเว้นต้นอิสคิรไหม โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ เพราะพวกเราใช้มันในบ้านของพวกเรา และที่หลุมศพของพวกเรา ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า “ยกเว้นต้นอิสคิร” (อนุญาตให้ถอนหรือตัดได้)
อบูอับดิลาฮ์ กล่าวว่า ในคำรายงานนี้ใช้คำว่า يُقَادُ ด้วยอักษร “กอฟ” มีผู้กล่าวแก่อบีอับดิลลาห์ว่า ข้อความอะไรที่เขียนให้แก่ชายผู้นั้น เขาตอบว่า เขียนข้อความของคุตบะห์นี้ให้กับเขา” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 6372
พระองค์อัลลอฮ์ทรงเล่าถึงคำวิงวอนของนบีอิบรอฮีมว่า (องค์อภิบาลของข้าเอ๋ย ได้โปรดทำให้เมืองนี้ปลอดภัย) คือปราศจากความกลัวและความหวั่นวิตกใดๆ ของผู้ที่อยู่ในเมืองนี้ และพระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงตอบรับคำวิงวอนนี้ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกล่าวว่า
وَمَنْ دَخَلَهُ كاَنَ آمِناً
“และผู้ใดที่เข้าไปในบ้านนี้เขาก็เป็นผู้ที่ปลอดภัย” ซูเราะห์ อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 97
أَوَلَمْ يَرَوا أنَّا جَعَلْنَا حَرَماً آمِناً وَيُتَخَطَّفُ النَّاسُ مِنْ حَوْلِهِمْ
“พวกเขาไม่เห็นหรอกหรือว่า เราได้ทำให้เขตหวงห้ามนั้นเป็นที่ปลอดภัย ขณะที่ผู้คนรอบๆพวกเขาถูกลักพาตัว” ซูเราะห์ อัลอังกะบูต อายะห์ที่ 67
ขณะเดียวกัน ท่านนบีได้ประกาศให้มักกะห์เป็นเขตปลอดอาวุธ โดยท่านกล่าวว่า
لاَ يَحِلُّ لأَحَدِكُمْ أنْ يَحْمِلَ بِمَكَّةَ السِلاَحَ
“ไม่เป็นที่อนุมัติแก่คนใดในหมู่พวกเจ้าในการติดอาวุธ ณ.ที่มักกะห์” ศอเฮียะห์มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 2416
ถ้อยคำที่ว่า (และผู้ใดปฏิเสธศรัทธา ข้าก็จะให้เขาเสพสุขเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นข้าก็จะไล่ต้อนเขาไปสู่การลงโทษของขุมนรก มันเป็นที่กลับไปที่เลวร้ายยิ่ง) บรรดานักวิชาการมีมุมมองที่ต่างกันว่า ประโยคนี้เป็นถ้อยคำของอัลลอฮ์โดยตรงหรือเป็นคำกล่าวของนบีอิบรอฮีมที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงนำมาเล่าให้ฟัง
อิบนุ ญะรีร อัตฏอบะรีย์ ได้อ้างคำรายงานจาก อบูญะอ์ฟัร อัรรอซีย์ จาก อัรรอเบียอ์ บิน อนัส จาก อบีลอาลียะห์ จาก อุบัยย์ บิน กะอบ์ ในถ้อยคำที่ว่า (และผู้ใดปฏิเสธศรัทธา ข้าก็จะให้เขาเสพสุขเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นข้าก็จะไล่ต้อนเขาไปสู่การลงโทษของขุมนรก มันเป็นที่กลับไปที่เลวร้ายยิ่ง) เขากล่าวว่า นี่คือถ้อยคำของอัลลอฮ์
ขณะที่นักวิชาการบางท่านได้ยึดถือคำรายงานจาก อบูญะอ์ฟัร อีกสายหนึ่งจาก อัรรอเบียะอ์ จาก อบีลอาลียะห์ ว่า อิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า นี่เป็นถ้อยคำของนบีอิบรอฮีมที่วิงวอนขอต่อัลลอฮ์ว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธก็ให้เขาเสพสุขเพียงเล็กน้อย แต่ อิบนุ ญะรีร ก็เลือกที่จะอธิบายความด้วยมุมมองแรกคือ ประโยคนี้เป็นถ้อยคำของอัลลอฮ์โดยตรง มิใช่คำวิงวอนขอของนบีอิบรอฮีม
คำว่า (และผู้ใดปฏิเสธศรัทธา ข้าก็จะให้เขาเสพสุขเพียงเล็กน้อย) เป็นข้อความยืนยันว่า บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นยังคงได้รับความเมตตาของอัลลอฮ์ในดุนยานี้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ฮาติม บิน อิสมาอีล ได้กล่าวว่า จาก ฮุมัยด์ อัลค๊อตรอฏ จาก อัมมาร อัสซะฮะบีย์ จาก สะอี๊ด บิน ญุบัยร์ จาก อิบนิ อับบาสว่า ท่านนบีอิบรอฮีมได้ขอสงวนมันไว้แก่บรรดาผู้ศรัทธาเท่านั้น แล้วพระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงประทานข้อความนี้มายืนยันว่า พระองค์จะทรงให้ปัจจัยในดุนยานี้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเช่นเดียวกัน แต่เป็นความสุขเพียงเล็กน้อย (เมื่อเทียบกับความสุขที่ผู้ศรัทธาจะได้รับในอาคิเราะห์) แล้ว อิบนิ อับบาส ก็อ่านข้อความของอายะห์ที่ว่า
كُلاًّ نُمِدُّ هَؤلاَءِ وَهَؤلاَءِ مِنْ عَطَاءِ رَبِّكَ وَمَا كَانَ عَطَاءُ رَبِّكَ مَحْظُوْراً
“ทั้งหมดนี้เราได้หยิบยืนให้แก่พวกเขาเหล่านี้ และพวกเล่านั้นจากการประทานให้ขององค์อภิบาลของเจ้า และการประทานให้ขององค์อภิบาลของเจ้านั้นไม่หวงห้ามแก่ผู้ใด” ซูเราะห์ อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 20
อิบนุ มัรดุวิฮ์ ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ และมีรายงานจาก อิกริมะห์ และ มุญาฮิด ในทำนองนี้เช่นเดียวกัน
พระองค์อัลลอฮ์ ทรงกล่าวว่า
إنَّ الَّذِيْنَ يَفْتَرُوْنَ عَلَى اللهِ الْكَذِبَ لاَ بُفْلِحُوْنَ مَتَاعٌ فِي الدُنْيَا ثُمَّ إلَيْنَا مَرْجِعُهُمْ ثُمَّ نُذِيْقُهُمُ العَذَابَ الشَّدِيْدَ بِمَا كَانُوا يَكْفُرُوْنَ
“แท้จริงบรรดาผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์นั้น พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ เขาความสุขในโลกนี้เท่านั้น แล้วเราจะนำพวกเขากลับไปยังเรา และเราจะให้พวกเขาลิ้มรสการลงโทษที่รุนแรงในสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธา” ซูเราะห์ ยูนุส อายะห์ที่ 69 -70
وَمَنْ كَفَرَ فَلاَ يَحْزُنْكَ كُفْرُهُ إلَيْنَا مَرْجِعُهُمْ فَنُنَبِّئُهُمْ بِمَا عَمِلُوا إنَّ اللهَ عَلِيْمٌ بِذَاتِ الصُّدُوْرِ نُمَتِّعُهُمْ قَلِيْلاً ثُمَّ نَضْطَرُّهُمْ إلَى عَذَابٍ غَلِيْظٍ
“และผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธา ก็อย่าให้การปฏิเสธศรัทธาของเขาทำให้เจ้าเสียใจ ยังเรานั้นคือที่กลับของพวกเขา แล้วเราก็จะแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวอก เราจะให้พวกเขาเสพสุขเพียงเล็กน้อย แล้วเราจะต้อนพวกเขาไปสู่การลงโทษที่รุนแรง” ซูเราะห์ ลุกมาน อายะห์ที่ 23 – 24
وَلَوْلاَ أن يَكُوْنَ النَّاسُ أُمَّةً وَاحِدَةً لَجَعَلْنَا لِمَنْ يَكْفُرُ بِالرَّحْمَانِ لِبُيُوْتِهِمْ سُقُفاً مِنْ فِضَّةٍ وَمَعَارِجَ عَلَيْهَا يَظْهَرُوْنَ وَلِبُيُوْتِهِمْ أبْوَاباً وَسُرُراً عَلَيْهَا يَتَّكِئُوْنَ وَزُخْرُفاً وَإن كُلُّ ذَلِكَ لِمَا مَتَاعُ الْحَيَاةِ الدُنْيَا وَالآخِرَةِ عِنْدَ رَبِّكَ للْمُتَّقِيْنَ
“หากมนุษย์มิได้เป็นประชาชาติหนึ่งเดียวกัน เราก็จะทำให้ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อผู้ทรงเมตตามีบ้านของพวกเขาที่หลังคาและทางขึ้นทำมาจากเงิน และบ้านของพวกเขานั้นมีประตูและเตียงทำด้วยเงินเช่นเดียวกัน และเครื่องตกแต่งที่เป็นทองคำ ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวนี้เป็นเพียงความสุขเล็กน้อยในโลกนี้ แต่ในอาคิเราะห์สำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น ณ.องค์อภิบาลของเจ้า” ซูเราะห์ อัซซุครุฟ อายะห์ที่ 33 -35
ถ้อยคำที่ว่า (หลังจากนั้นข้าก็จะไล่ต้อนเขาไปสู่การลงโทษของขุมนรก มันเป็นที่กลับไปที่เลวร้ายยิ่ง) คือปล่อยให้พวกเขาได้หลงระเริงกับความสุขในดุนยาเพียงเล็กน้อยโดยไม่ลงโทษพวกเขาโดยฉับพลัน หลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮ์ก็จะให้พวกเขาได้ลิ้มรสการทรมานที่แสนสาหัส เป็นบั้นปลายของพวกเขาที่เลวร้ายยิ่ง โดยพวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
وَكَأيِّن قَرْيَةٍ أَمْلَيْتُ لَهَا وَهِيَ ظَالِمَةٌ ثُمَّ أَخَذْتُهَا وَإلَىَّ الْمَصِيْرُ
“และกี่เมืองแล้วที่ข้าได้ปล่อยเวลาให้กับมันทั้งๆที่มีแต่ความอธรรม แล้วข้าได้ทำลายมัน และยังข้าเท่านั้นคือที่กลับไป” ซูเราะห์ อัลฮัจญ์ อายะห์ที่ 48
อบู มูซา อัลอัชอารีย์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إنَّ اللهَ لَيُمْلِي للظَالِمِ حَتَّى إذَا أَخَذَهُ لَمْ بُفْلِتْهُ ثُمَّ قَرَأَ ( وَكَذَلِكَ أخْذُ رَبِّكَ إذَا أَخَذَ القُرَى وَهِيَ ظَالِمَةٌ إنَّ أخْذَهُ أَلِيْمٌ شَدِيْدٌ
“แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงเพิกเฉยต่อผู้อธรรม จนเมื่อพระองค์ได้ทรงลงโทษเขา เขาก็ไม่สามารถหลบหลีกได้ หลังจากนั้นท่านก็อ่านอายะห์ที่ว่า (เช่นนั้นแหละคือการลงโทษขององค์อภิบาลของเจ้า เมื่อพระองค์ทรงลงโทษเมืองต่างๆที่เต็มไปด้วยความอธรรม แท้จริงการลงโทษของพระองค์นั้นเจ็บปวดรุนแรงยิ่ง” ) ศอเฮียะห์ บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 4318