ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 83


وَإذْ أَخَذْنَا مِيْثَاقَ بَنِي إسْرَائِيْلَ لاَ تَعْبُدُوْنَ إلا اللهَ وبِالْوَالِدَيْنِ إحْسَاناً وَذِى الْقُرْبَى وَالْيَتَامَى وَالْمَسَاكِيْنِ وَقُولُوا للنَّاسِ حُسْناً وَأَقِيْمُوا الصَّلاَةَ وَآتُوا الزَّكاَةَ ثُمَّ تَوَلَّيْتُمْ إلا قَلِيْلاً مِنْكُمْ وَأنْتُمْ مُعْرِضُوْنَ


และจงทบทวน ขณะที่เราได้เอาพันธสัญญาต่อบนีอิสรออีลว่า พวกเจ้าต้องไม่สักการะสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ และจงทำดีต่อพ่อแม่ เครือญาติ เด็กกำพร้า ผู้ขัดสน และพวกเจ้าจงกล่าวแก่บรรดาผู้คนด้วยถ้อยคำที่ดีงาม และพวกเจ้าจงดำรงการละหมาด และจ่ายซะกาต แล้วพวกเจ้าก็ผินหลังให้ นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพวกเจ้าเองก็เป็นผู้ที่ผินหลังให้



พระองค์อัลลอฮ์ทรงใช้ให้บนีอิสรออีลทบทวนพันธสัญญาที่พระองค์ทรงสั่งใช้พวกเขาว่า พวกเขาจะต้องไม่สักการะสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และอย่าได้นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ ซึ่งคำสั่งนี้ครอบคลุมแก่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

وَمَا أرْسَلْنَا مِنْ قَبْلِكَ مِن رَّسُوْلٍ إلا نُوْحِي إلَيْهِ أنَّهُ لاَ إلهَ إلا أنَا فَاعْبُدُوْنِ


“และเราไม่ได้ส่งรอซูลคนใดมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากเราจะวะฮีย์ให้แก่เขาว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงสักการะต่อข้าเถิด” ซูเราะห์ อัลอัมบิยาอ์ อายะห์ที่ 25

وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَسُوْلاً أَنِ اعْبُدُوا اللهَ وَاجْتَنِبُوا الطَّاغُوْتَ


“และแน่นอนว่าเราได้ส่งรอซูลมาในทุกประชาชาติ (โดยกำชับว่า) พวกเจ้าจงสักการะต่ออัลลอฮ์ และจงออกห่างจากเจว็ดทั้งหลาย” ซูเราะห์ อัลนะฮล์ อายะห์ที่ 36

บรรดารอซูลของอัลลอฮ์นั้นต่างเรียกร้องผู้คนไปสู่การสักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเหมือนกันทั้งหมด เช่น นบีอิบรอฮีม,นบีนัวฮ์,นบีมูซา,นบีอีซา หรือแม้กระทั่งนบี มูฮัมหมัด ศ็อล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นนบีท่านสุดท้าย ดั่งที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงใช้ให้ท่านนบี มูฮัมหมัด ประกาศแก่ชาวคัมภีร์ซึ่งเป็นประชาชาติก่อนหน้านี้ว่า

قُلْ يَا أهْلَ الْكِتَابِ تَعَالَوا إلَى كَلِمَةٍ سَوَآءٍ بَيْنَنَا وَبَيْنَكُمْ ألاَّ نَعْبُد إلاَّ اللهَ وَلاَ نُشْرِكَ بِهِ شَيْئاً


“มูฮัมหมัดจงประกาศเถิดว่า โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย จงมาสู่ถ้อยคำที่เท่าเทียมกันระหว่างพวกเรากับพวกท่าน คือการที่เราจะไม่สักการะสิ่งอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และเราจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์” ซูเราะห์ อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 64

แม้ว่าบรรดารอซูลของอัลลอฮ์แต่ละท่านจะมาเรียกร้องไปสู่หลักความเชื่อที่เหมือนกัน แต่ข้อบัญญัติด้านการปฏิบัตินั้นแตกต่างกันไปในแต่ละยุค ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

لِكُلٍّ جَعَلْنَا مِنْكُمْ شِرْعَةً وَمِنْهَاجاً

“สำหรับทุกประชาชาติในหมู่พวกเจ้านั้นเราได้ทำให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้แล้ว” ซูเราะห์ อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 48


ความจริงการศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์นั้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้คนหนึ่งถูกเรียกว่าเป็นผู้ศรัทธา เพราะการศรัทธาต่ออัลลอฮ์นั้นรวมความถึงการเชื่อและปฏิบัติตามทุกเรื่องที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงสั่งใช้และสั่งห้าม เช่นคำสั่งใช้ให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามรอซูล และอื่นๆ แต่ในอายะห์นี้พระองค์อัลลอฮ์ทรงสั่งใช้บนีอิสรออีล โดยนำเอารายละเอียดมาแจงไว้เป็นกรณีเฉพาะคือ

พระองค์กล่าวว่า (และจงทำดีต่อพ่อแม่ เครือญาติ เด็กกำพร้า ผู้ขัดสน) หลักเกณฑ์ข้อนี้นอกจากจะเป็นพันธสัญญาแก่บนีอิสรออีลแล้ว ก็ยังคงเป็นบทบัญญัติแก่ประชาชาติยุคสุดท้ายเช่นเดียวกัน พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

وَاعْبُدُوا اللهَ وَلاَ تُشْرِكُوابِهِ شَيْئاً وَبِالْوَالِدَيْنِ إحْسَاناً وَبِذِى الْقُرْبَى وَالْيَتَامَى وَالْمَسَاكِيْنَ وَالْجَارِ ذِى الْقُرْبَى وَالْجَارِ الْجُنُبِ وَالصَّاحِبِ بِالْجَنْبِ وَابْنِ السَّبِيْلِ وَمَا مَلَكَتْ أيْمَانُكُمْ إنَّ اللهَ لاَ يُحِبُّ مَنْ كَانَ مُخْتَالاً فَخُوْراً

“พวกเจ้าจงสักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์ และอย่านำสิ่งอื่นใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์ และจงทำดีต่อพ่อแม่, บรรดาเครือญาติ, เด็กกำพร้า,ผู้ขัดสน, เพื่อนบ้านใกล้เคียง, เพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไป, เพื่อนรอบข้าง, ผู้เดินทาง, และผู้ที่อยู่ในปกครองของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์ไม่รักผู้หยิ่งยโส ผู้โอ้อวด” ซูเราะห์ อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 36

คำว่า “เอียะห์ซาน” ณ.ที่นี้คือ การทำความดีระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน ที่สำคัญลำดับต้นคือ การทำดีต่อพ่อแม่ และคำนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าการทำดีโดยทั่วไป กล่าวคือ ให้ทำความดีต่อพ่อแม่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งยามเป็นและยามตาย คือ ความตายไม่ได้พรากความเป็นพ่อแม่ลูกออกจากกัน ฉะนั้นลูกจึงต้องขอดุอาอ์ให้แก่พ่อแม่ แม้ว่าท่านทั้งสองจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม อีกทั้งต้องหมั่นทำความดีเนื่องจากลูกคือผลงานของพ่อแม่

อับดุลลอฮ์ อิบนิ มัสอู๊ด รายงานว่า ฉันเคยถามว่า

أَيُّ الْعَمَلِ أَحَبُّ إلَى اللهِ قَالَ : الصَّلاَةُ عَلَى وَقْتِهَا قَالَ : ثُمَّ أَيٌّ قَالَ : بِرُّ الْوَالِدَيْنِ قَالَ : ثُمَّ أَيٌّ قَالَ : الْجِهَادُ فِي سَبِيْلِ اللهِ


“โอ้ท่านรอซูลของอัลลอฮ์ การกระทำใดเล่าเป็นที่รักยิ่ง ณ.ที่อัลลอฮ์ ? ท่านตอบว่า “การละหมาดตรงตามเวลาของมัน” ฉันถามอีกว่า มีอย่างอื่นอีกไหม ? ท่านตอบว่า “การทำความดีต่อพ่อแม่” ฉันถามว่า มีอย่างอื่นอีกไหม ? ท่านตอบว่า “การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์” ศอเฮียะห์ บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 496

ถ้อยคำที่ว่า (และพวกเจ้าจงกล่าวแก่บรรดาผู้คนด้วยถ้อยคำที่ดีงาม) อีกข้อบัญญัติหนึ่งที่เป็นพื้นฐานโดยรวมทั้งสำหรับประชาชาติในยุคต้นและประชาชาติยุคสุดท้าย ซึ่งท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ ได้อธิบายว่า “คำพูดที่ดีงามนั้นคือ : การกำชับใช้กันในความดีและห้ามปรามกันในสิ่งที่ต้องห้าม, ความขันติ, การให้อภัย, การโอบอ้อมอารีย์ และการกล่าวต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยคำพูดที่ดีงามดั่งที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงสั่งไว้ ซึ่งทั้งหมดนี้คือมารยาทที่งดงาม เป็นความพึงพอใจของพระองค์อัลลอฮ์” ตัฟซีร อิบนิ กะษีร เล่มที่ 1 หน้าที่ 172

พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

وَمَنْ أحْسَنُ قَوْلاً مِمَّنْ دَعَا اِلَى اللهِ

“และผู้ใดเล่าจะมีคำพูดที่งดงามยิ่งกว่าผู้ที่เชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์” ซูเราะห์ ฟุศิลัต อายะห์ที่ 33


อบูซัรริน อัลฆิฟารีย์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวแก่ฉันว่า

لاَ تَحْقِرَنَّ مِنَ الْمَعْرُوْفِ شَيْئاً وَلَوْ أنْ تَلْقَى أَخَاكَ بِوَجْهٍ طَلْقٍ

“เจ้าอย่าได้เหยียดหยามสิ่งใดของความดีงาม แม้เพียงการพบกับพี่น้องของเจ้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม” ศอเฮียะห์ มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4760


คำว่า الناس ที่แปลว่า “ผู้คน” ในที่นี้ไม่ได้มีข้อจำกัดว่า คนที่จะพูดดีหรือทำดีด้วยนั้นเป็นมุสลิม หรือ กาเฟร หากเขาผู้นั้นมิได้กระทำหรือแสดงตนเป็นศัตรูต่อมุสลิมและอิสลาม ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติว่า

لاَ يَنْهَاكُمُ اللهُ عَنِ الَّذِيْنَ لَمْ يُقَاتِلُوْكُمْ فِي الذِيْنِ ولَمْ يُخْرِجُوْكُمْ مِنْ دِيَارِكُمْ أنْ تَبَرُّوْهُمْ وَتُقْسِطُوا إلَيْهِمْ إنَّ اللهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِيْنَ


“อัลลอฮ์ไม่ห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ (ไม่ได้เป็นมุสลิม) ที่ไม่ต่อสู้กับพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและไม่ขับพวกเจ้าออกจากที่อาศัยของพวกเจ้า ในที่จะทำดีแก่พวกเขาและให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์รักผู้ที่ให้ความเป็นธรรม” ซูเราะห์ อัลมุมตะฮินะห์ อายะห์ที่ 8

ในทางตรงกันข้าม บรรดาผู้ปฏิเสธอิสลามที่กระทำหรือแสดงตนเป็นศัตรู รวมถึงผู้ที่ให้การสนับสนุนในการกระทำดังกล่าว พระองค์อัลลอฮ์ทรงบัญญัติว่า

إنَّمَا يَنْهَاكُمُ اللهُ عَنِ الَّذِيْنَ قَاتَلُوْكُمْ فِي الدِيْنِ وَأخْرَجُوْكُمْ مِنْ دِيَارِكُمْ وَظَاهَرُوا عَلَى إخْرَاجِكُمْ أنْ تَوَلَّوْهُمْ وَمَن يَتَوَلَّهُمْ فَأُوْلئِكَ هُمُ الظَّالِمُوْنَ


“แต่ทว่าอัลลอฮ์ห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ต่อสู้กับพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และขับพวกเจ้าออกจากที่อาศัยของพวกเจ้า และบรรดาผู้ให้การสนับสนุนในการขับไล่พวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขา และผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านี้คือผู้อธรรม” ซูเราะห์ อัลมุมตะฮินะห์ อายะห์ที่ 9

“อิบนุ กะษีร ได้แสดงข้อความจากตัฟซีรของ อิบนุ อบี ฮาติม ด้วยคำรายงานที่อ้างถึง อะซัด บิน วิดาอะห์ ว่า เมื่อเขาออกนอกบ้าน เขาจะให้สลามกับชาวยะฮูดและนอศอรอ มีคนถามเขาว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้ ท่านให้สลามแก่ชาวยะฮูดและนะศอรอหรือ ? เขาตอบว่า แท้จริงอัลลอฮ์กล่าวว่า (และพวกเจ้าจงกล่าวแก่บรรดาผู้คนด้วยถ้อยคำที่ดีงาม) คือ การให้สลาม เขากล่าวว่า ถูกรายงานจาก อะฏออ์ อัลคุรอซานีย์ ทำนี้เช่นเดียวกัน
ฉัน (อิบนุ กะษีร) กล่าวว่า ที่มีหลักฐานยืนยันในซุนนะห์ว่า “พวกเจ้าอย่าได้เริ่มต้นให้สลามแก่ชาวยะฮูดและนะศอรอ” วัลลอฮุอะอ์ลัม” ตัฟซีร อิบนิ กะษีร เล่มที่ 1 หน้าที่ 172

หมายเหตุ ฮะดีษที่ อิบนิ กะษีร อ้างถึง คือฮะดีษที่รายงานโดย อบูฮุเราะห์ บันทึกโดย อิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4030 ฉะนั้นเราคงต้องยึดถือตามคำสั่งของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า “พวกเจ้าอย่าได้เริ่มต้นให้สลามแก่ชาวยะฮูดและนะศอรอ”

ถ้อยคำที่ว่า (และพวกเจ้าจงดำรงการละหมาด และจ่ายซะกาต) ข้อบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าจะถูกกำหนดให้แก่ประชาชาติในยุคต้นและประชาชาติยุคสุดท้ายเหมือนกัน แต่วิธีการปฏิบัตินั้นแตกต่างกัน และเราเป็นประชาชาติยุคสุดท้าย ซึ่งเป็นอุมมะห์ของท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้นเราจึงต้องปฏิบัติตามวิธีการและขั้นตอนที่ท่านนบีของเรานำมาสั่งสอน

ถ้อยคำที่ว่า (แล้วพวกเจ้าก็ผินหลังให้ นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพวกเจ้าเองก็เป็นผู้ที่ผินหลังให้) คือพันธสัญญาต่างๆที่พระองค์อัลลอฮ์สั่งให้บนีอิสรออีลได้ยึดถือนั้น พวกเขากลับไม่ใส่ใจที่จะรักษาไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาได้ผินหลังให้กับพันธสัญญา เหลือเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น และก็กำลังผินหลังให้อยู่เช่นเดียวกัน