ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 97
قُلْ مَنْ كَانَ عَدُوًّا لِجِبْرِيْلَ فَإنَّهُ نَزَّلَهُ عَلَى قَلْبِكَ بِإدْنِ اللهِ مُصَدِّقاً لِمَا بَيْنَ يَدَيْهِ وَهُدَى وَبُشْرَى للْمُؤْمِنِيْنَ
ประกาศเถิดมูฮัมหมัด ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล แท้จริงเขาได้นำอัลกุรอานลงมายังหัวใจของเจ้าด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ เพื่อยืนยันสิ่งที่มาก่อนหน้ามัน เป็นทั้งทางนำและข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา
ชาวยะฮูดไม่พอใจต่อญิบรีลที่นำวะฮีย์ของอัลลอฮ์มามอบให้แก่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีคนสุดท้ายแห่งประชาชาติยุคนี้ เนื่องจากชาวยะฮูดตั้งความหวังว่า บุคคลที่จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนบีท่านต่อไป จะต้องเป็นคนหนึ่งคนใดจากบนีอิสรออีลเท่านั้น แต่ญิบรีลทำให้พวกเขาผิดหวัง เพระได้นำเอาวะฮีย์มาให้แก่ท่านนบีมูฮัมหมัด ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า ญิบรีลคือศัตรูของพวกเขา
ความเชื่อเช่นนี้ของเหล่ายะฮูด ไม่แตกต่างอะไรกับความเชื่อของเหล่าชีอะห์บางกลุ่มที่กล่าวว่า ญิบรีลนำเอาวะฮีย์มาให้ผิดตัว ทั้งที่ความจริงจะต้องนำมาให้แก่ อาลี อิบนิ อบีตอลิบ ซึ่งความเชื่อเช่นนี้มิได้ทำให้ผู้ที่เชื่ออยู่ในสถานะของมุสลิมได้เลย เพราะการที่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรอซูลนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของผู้ใด แต่เป็นพระปะสงค์ของอัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรงประกาศว่า
مُحَمَّدٌ رَّسُوْلُ اللهِ وَالَّذِيْنَ مَعَهُمْ أَشِدَّاءُ عَلَى الْكُفَّارِ
“มูฮัมหมัดคือรอซูลของอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขานั้นต่างเข็มแข็งต่อศัตรู” ซูเราะห์ อัลฟัตฮ์ อายะห์ที่ 29
การตีโพยตีพายของศัตรูอิสลาม ด้วยการกล่าวโทษ ญิบรีล มีได้มีผลทำให้ผู้มีสติปัญญาต้องคล้อยตามแต่อย่างใด เพราะความจริงนั้นเหล่ามะลาอิกะห์ คือสิ่งถูกสร้าง ทำหน้าที่ตามบัญชาของอัลลอฮ์ มิได้กระทำการใดๆที่เกิดจากความเห็นส่วนตน ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
لاَ يَعْصُوْنَ اللهَ مَا أَمَرَهُمْ وَيَفْعَلُوْنَ مَا يُؤْمَرُوْنَ
“พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงใช้พวกเขา และพวกเขาจะทำในสิ่งที่ถูกใช้” ซูเราะห์ อัตตะห์รีม อายะห์ที่ 6
อิบนุ ญะรีร กล่าวว่า “บรรดานักอธิบายอัลกุรอาน ต่างเห็นพ้องกันว่า อายะห์นี้ถูกประทานลงมาเป็นคำตอบแก่บนีอิสรออีล เหล่ายะฮูด ที่พวกเขาอ้างว่า ญิบรีล เป็นศัตรูแก่พวกเขา ส่วน มีกาอีล นั้นเป็นมิตรกับพวกเขา” ตัฟซีร อัตฏอบะรีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 431
แต่ อิบนุ ญะรีร ก็แจ้งว่า บรรดานักวิชาการต่างอ้างอิงข้อมูลของการที่พวกเขาเช่นนั้นที่แตกต่างกันออกไป บางท่านก็กล่าวว่า มีเหตุมาจากการที่พวกเขาถกกับท่านนบีเรื่องการเป็นนบี ของท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และบางท่านก็กล่าวว่า มีเหตุมาจากการที่พวกเขาถกกับท่านอุมัร อิบนุล ค๊อตต๊อบ ในเรื่องการเป็นนบีของท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่ง อิบนุ ญะรีร ได้นำเอาหลักฐานแต่ละกรณีมาแจงไว้อย่างละเอียด และอิบนุ กะษีร ก็คัดย่อเอามาไว้ในตัฟซีรของท่านเช่นเดียวกัน ซึ่งเราจะนำมากล่าวพอสังเขปดังนี้
ชาวยะฮูดถกกับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในเรื่องการเป็นนบีของท่าน
อบู กุรัยบ์ เล่าให้เราฟังว่า ยูนุส บิน บุกัยร์ เล่าให้เราฟังจาก อับดุลฮะมีด บิน บะฮ์รอม จาก ชะฮร์ บิน เฮาซับ จาก อิบนิ อับบาส ว่า
ชาวยะฮูด กลุ่มหนึ่งได้มาหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า อบูลกอเซ็มเอ๋ย โปรดให้คำตอบกับพวกเราในกรณีต่างๆที่พวกเราจะถามท่าน ซึ่งไม่มีผู้ให้คำตอบเหล่านี้ได้นอกจากผู้เป็นนบีเท่านั้น ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า โปรดถามสิ่งที่พวกท่านต้องการมาเถิด แต่ทว่า พวกท่านต้องสัญญาต่ออัลลอฮ์กับฉัน ดังเช่นนบียะอ์กู๊บได้เอาคำสัญญากับลูกๆของเขาว่า หากฉันบอกเรื่องใดกับท่านแล้ว และพวกท่านรู้ว่ามันเป็นความจริง พวกท่านจะต้องปฏิบัติตามฉันบนคำสอนของอิสลาม ? พวกเขากล่าวว่า ท่านจะได้รับสิ่งนั้นแน่นอน ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงถามสิ่งที่พวกท่านต้องการมาเถิด พวกเขากล่าวว่า โปรดบอกกับพวกเราสี่ประการดังต่อไปนี้ (1) อะไรคืออาหารที่อิสรออีล (นบียะอ์กู๊บ) ตั้งเงื่อนไขกับตัวเองว่าจะไม่รับประทานก่อนที่อัตเตารอตจะถูกประทานลงมา (2) โปรดบอกเราว่า น้ำอสุจิของเพศชายและน้ำอสุจิของเพศหญิงต่างกันอย่างไร (3) และทำไมทารกถึงได้เป็นเพศชายและเพศหญิง (4) โปรดบอกพวกเราเกี่ยวกับนบีผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็นในเรื่องการนอนของเขา และผู้นำสาสน์มาให้แก่เขาจากมวลมะลาอิกะห์ ? ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า พวกท่านได้สัญญาต่ออัลลอฮ์แล้วนะว่า หากฉันให้คำตอบแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะปฏิบัติตามฉัน ดังนั้นพวกเขาจึงให้สัญญากับท่านในสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงประสงค์ ท่านนบีจึงกล่าวว่า ขอสาบานต่อผู้ซึ่งประทานอัตเตารอตให้แก่มูซา พวกท่านรู้ไม่ใช่หรือว่า (1) ยะอ์กู๊บบ่าวของอัลลอฮ์นั้นป่วยอย่างรุนแรง และยังคงซมอยู่กับอาการเจ็บป่วยเป็นเวลานาน เขาจึงได้บนบานต่ออัลลอฮ์ว่า หากพระองค์อัลลอฮ์ให้เขาหายป่วย เขาก็จะงดกินอาหารและเครื่องดื่มที่เขาชอบ ซึ่งอาหารที่เขาโปรดนั้นคือ เนื้ออูฐ และเครื่องดื่มที่เขาชอบนั้นคือนมของมัน พวกเขาตอบว่า ใช่ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวต่อไปว่า โอ้อัลลอฮ์โปรดเป็นพยานต่อการยอมรับของพวกเขาด้วยเถิด และฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ และเป็นผู้ประทานอัตเตารอตให้แก่มูซา พวกท่านรู้มิใช่หรือว่า (2) อสุจิของเพศชายนั้นขาวข้น แต่อสุจิของเพศหญิงนั้นเหลืองใส และถ้าอสุจิของฝ่ายใดอยู่เหนืออีกฝ่ายหนึ่งก็จะทำให้ทารกเหมือนกับฝ่ายนั้นด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ ดังนั้นเมื่ออสุจิของเพศชายเหนืออสุจิของเพศหญิงทารกก็จะเป็นเพศชาย และเมื่ออสุจิของเพศหญิงอยู่เหนืออสุจิของเพศชายทารกก็จะเป็นเพศหญิง พวกเขาตอบว่า ใช่แล้ว ท่านนบีจึงกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ได้โปรดเป็นพยาน แล้วท่านก็กล่าวต่อไปว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงประทานอัตเตารอตให้แก่มูซา พวกท่านรู้ใช่ไหมว่า (3) นบีผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็นนี้ เขาหลับแต่เพียงตาแต่หัวใจของเขามิได้หลับด้วย พวกเขาตอบว่า ใช่แล้ว ท่านนบีจึงกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ได้โปรดเป็นพยาน พวกเขากล่าวว่า ตอนนี้ท่านต้องบอกกับพวกเราว่า ผู้ใดในหมู่มะลาอิกะห์เป็นผู้นำสาสน์มาให้ท่าน เพื่อพวกเราจะได้รู้ว่าเราเหมือนกันหรือต่างกัน ท่านนบีตอบว่า ผู้นำสาสน์มามาให้ฉันคือ ญิบรีล และอัลลอฮ์ไม่เคยแต่งตั้งนบีท่านใดนอกจาก ญิบรีล จะนำสาสน์มาให้แก่เขา พวกเขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกเราต่างกับท่าน แต่ถ้าผู้ที่นำสาสนาให้ท่านมิใช่ญิบรีลละก็ พวกเราก็จะเชื่อและปฏิบัติตามท่าน ท่านนบีจึงกล่าวว่า อะไรที่ห้ามพวกท่านมิให้เชื่อถือญิบรีลหรือ ? พวกเขาตอบว่า ญิบรีลเป็นศัตรูกับพวกเรา ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงได้ประทานอัลกุรอานนี้มาว่า (ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล) จนกระทั่งถึงข้อความที่ว่า (หากพวกเขารู้) อย่างนี้แหละที่พวกเขากลับไปสู่อัลลอฮ์ด้วยความโกรธทวีความโกรธ” มุสนัด อิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 2384
อิบนุ กะษีร กล่าวว่า อิหม่ามอะห์หมัด ได้รายงานฮะดีษบทนี้ไว้ในมุสนัดของท่าน โดยอ้างสายรายงานจาก อบีลนัดร์ ฮาชิม อิบนุ้ล กอเซ็ม และ อับดุ บิน ฮุมัยด์ ได้บันทึกฮะดีษบทนี้ไว้ในตัฟซีรของเขาดดยอ้างสานรายงานจาก อะห์หมัด บิน ยูนุส แต่ทั้งสองนี้ก็นำมาจาก อับดุลฮะมีด บิน บะฮ์รอม
และอิหม่ามอะห์หมัด บันทึกไว้อีกรายงานหนึ่งจาก อัลฮุซัยน์ บิน มูฮัมหมัด อัลมัรวะซีย์ จาก อับดุลฮะมีด มีเนื้อความเช่นเดียวกันนี้
มูฮัมหมัด บิน อิสฮาก บิน ยะซาร ได้รายงานฮะดีษเรื่องนี้โดยกล่าวว่า อับดุลลอฮ์ บิน อับดุลเราะห์มาน บิน อบี ฮุซัยน์ เล่าให้ฉันฟังจาก ซะฮร์ บิน เฮาซับ ซึ่งเป็นคำรายงานที่กระโดดข้ามศอฮาบะห์ และมีเนื้อความเพิ่มเติมว่า “ชาวยะฮูดได้กล่าวว่า ท่านจงบอกพวกเราเกี่ยวกับวิญญาณ ท่านนบีจึงกล่าวว่า ขอสาบานกับพวกท่านด้วยนามของอัลลอฮ์ และโองการของพระองค์ (อัตเตารอต) ที่มีอยู่ ณ.ที่บนีอิสรออีล พวกท่านรู้มิใช่หรือว่า ดวงวิญญาณนี้คือ ญิบรีล เขาเป็นผู้มาหาฉัน พวกเขากล่าวว่า ใช่ แต่ว่าญิบรีลเป็นศัตรูกับพวกเรา เพราะเขาเป็นมะลาอิกะห์ที่นำรุนแรงและการนองเลือดมา ถ้าเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่เขา พวกเราก็จะปฏิบัติตามท่าน ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงได้ทรงประทานอายะห์ในเรื่องของพวกเขาว่า (ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล แท้จริงเขาได้นำอัลกุรอานลงมายังหัวใจของเจ้าด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์) จนกระทั่งถึงถ้อยคำที่ว่า (หากพวกเขารู้) คือจากอายะห์ที่ 97 -103
อิหม่ามอะห์หมัด กล่าวว่า อบู อะห์หมัด เล่าให้เราฟังว่า อับดุลลอฮ์ บิน อัลวะลีด อัลอิจญ์ลีย์ เล่าให้เราฟังจาก บุกัยร์ บิน ซิฮาบ จาก สะอี๊ด บิน ญุบัยร์ จาก อิบนิ อับบาส กล่าวว่า ชาวยะฮูดได้มาหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม พร้อมทั้งกล่าวว่า โอ้อบูกอเซ็มเอ๋ย พวกเราจะถามท่านสัก 5 อย่าง หากท่านบอกกับเราได้ เราก็จะรู้ว่าท่านนบี และเราก็จะปฏิบัติตามท่าน ท่านนบีจึงได้ให้พวกเขาให้สัญญา ดังที่ อิสรออีล (นบียะอ์กู๊บ) ได้ให้ลูกๆของท่านให้สัญญา (อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่เราสัญญากันไว้) ท่านกล่าวต่อไปว่า ถามมาเถิด พวกเขากล่าวว่า โปรดบอกกับพวกเราถึงเครื่องหมายการเป็นนบี ท่านตอบว่า คือตาของเขาหลับแต่หัวใจของเขาไม่หลับ พวกเขากล่าวว่า โปรดบอกกับพวกเราว่า ทารกเป็นเพศชายและเพศหญิงได้อย่างไร ท่านตอบว่า อสุจิของทั้งสองฝ่ายผสมกัน เมื่ออสุจิของเพศชายอยู่เหนืออสุจิของเพศหญิง ทารกก็จะเป็นเพศชาย แต่ถ้าอสุจิของเพศหญิงอยู่เหนืออสุจิของเพศชาย ทารกก็จะเป็นเพศหญิง พวกเขากล่าวว่า อะไรที่อิสรออีล (นบียะอ์กู๊บ) วางเงื่อนไขห้ามตัวของเขาเอง ท่านตอบว่า เขาป่วยมีอาการปวดร้าวถึงต้นขา โดยเขาไม่พบอะไรเยียวยานอกจากนม อย่างนี้อย่างนี้เท่านั้น
อิหม่ามอะห์หมัด กล่าวว่า บางคนกล่าวว่า หมายถึง อูฐ ที่เขางดกินเนื้อของมัน พวกเขากล่าวว่า ท่านพูดถูกต้องแล้ว พวกเขาถามต่อไปว่า โปรดบอกกับพวกเราว่าเสียงฟ้าร้องนั้นคืออะไร ท่านตอบว่า มะลาอิกะห์องค์หนึ่งจากบรรดามะลาอิกะห์ของอัลลอฮ์ ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเมฆ ในมือของเขามีเลื่อยจากไฟคอยส่งเสียงห้ามเมฆโดยกระทำไปตามบัญชาของอัลลอฮ์ พวกเขาถามว่า แล้วเสียงอะไรที่พวกเราได้ยิน ท่านตอบว่า คือเสียงของเขา พวกเขากล่าวว่า ท่านพูดถูกต้องแล้ว แต่ยังเหลืออีกอย่างหนึ่ง เพื่อที่พวกเราจะปฏิบัติตามท่าน หากท่านได้ให้คำตอบกับพวกเราคือ ไม่มีนบีคนใดที่ถูกส่งมานอกจากจะต้องมีมะลาอิกะห์นำสาสน์มาให้เขา ดังนั้นโปรดบอกกับพวกเราว่า ผู้นำสาสน์มาให้ท่านคือใคร ท่านตอบว่า เขาคือ ญิบรีล อลัยฮิสสลาม พวกเขากล่าวว่า ญิบรีล ผู้ที่นำสงครามและการเข่นฆ่า,การทรมานนะหรือ เขาคือศัตรูของพวกเรา เรานึกว่าท่านจะตอบว่า คือ มีกาอีล ที่นำความเมตตา พืชพันธ์และสายฝนลงมา ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงทรงประทานอายะห์นี้ลงมาว่า (ประกาศเถิดมูฮัมหมัด ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล) จนกระทั่งจบอายะห์” มุสนัด อิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 2353
อิบนุ กะษีร กล่าวปิดท้ายฮะดีษว่า อัตติรมีซีย์ และ อัลนะซาอีย์ รายงานฮะดีษนี้จาก อับุลลอฮ์ อิบนุ้ลวะลีด และ อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า ฮะดีษนี้ ฮะซันฆ่อรีบ (แต่เชค อะห์หมัด ชากิร กล่าววิจารณ์ว่า สายรายงานของฮะดีษบทนี้ศอเฮียะห์)
ซุนัยด์ ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรของเขาว่า จาก ฮัจญาจญ์ บิน มูฮัมหมัด จาก อิบนุ ญุรอยญ์ ว่า อัลกอเซ็ม บิน อบีบัซซะฮ์ ได้บอกกับฉันว่า ชาวยะฮูดได้ถามท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เกี่ยวกับผู้ที่นำเอาวะฮีย์มาให้ท่าน แล้วท่านตอบว่า เขาคือ ญิบรีล พวกเขากล่าวว่า ญิบรีล คือศัตรูของพวกเรา เขาไม่นำสิ่งใดมาหรอก นอกจากความรุนแรง, สงคราม และการเข่นฆ่า ดังนั้น พระองค์อัลลอฮ์จึงได้ประทานอายะห์นี้มาว่า (ประกาศเถิดมูฮัมหมัด ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล)
อิบนุ ญุรอยญ์ กล่าวว่า มุญาฮิด กล่าวว่า ชาวยะฮูดได้กล่าวว่า โอ้มูฮัมหมัด ญิบรีล ไม่ได้นำสิ่งใดมาหรอก นอกจากความรุนแรง, สงคราม และการเข่นฆ่า และเขาคือศัตรูของพวกเรา ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงประทานอายะห์นี้ลงมาว่า (ประกาศเถิดมูฮัมหมัด ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล)
อิหม่ามบุคอรี ได้ระบุไว้ในหมวดของการอธิบายอัลกุรอาน บทที่ว่าด้วยเรื่อง (ผู้ใดเป็นศัตรูกับญิบรีล) อิกริมะห์ กล่าวว่า : คำว่า “ญิบร์, มีกา, และ ซะรอฟ” นั้นมีความหมายว่า “บ่าว” ส่วนคำว่า “อีล” มีความหมายว่า “อัลลอฮ์” (ดังนั้นบรรดาชื่อของมะลาอิกะห์เหล่านี้คือ ญิบรีล, มีกาอีล, และอิสรอฟีล จึงมีความหมายว่า “บ่าวของอัลลอฮ์)
อิหม่ามบุคอรี กล่าวว่า : อับดุลลอฮ์ บิน มุนีร เล่าให้เราฟังว่า เขาได้ยิน อับดุลลอฮ์ บิน บักร์ กล่าวว่า ฮุมัยด์ เล่าให้เราฟัง จาก อนัส กล่าวว่า : อับดุลลอฮ์ บิน สลาม ได้ยินข่าวการมามะดีนะห์ของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ขณะที่เขากำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่ เขาจึงได้มาหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า ฉันขอถามท่าน 3 ข้อที่ไม่มีใครรู้คำตอบนอกจากนบี คือ (1) สัญญาณแรกของกาลอวสานคืออะไร (2) อาหารมื้อแรกของชาวสวรรค์คืออะไร (3) สิ่งใดที่ทำให้ทารกเหมือพ่อหรือเหมือนแม่ ท่านนบีตอบว่า ญีบรีลได้บอกเรื่องนี้กับฉันก่อนหน้านี้เล็กน้อย เขากล่าวว่า ญีบรีลหรือ ? ท่านตอบว่า ใช่ เขากล่าวว่า นั่นคือศัตรูของชาวยะฮูดในหมู่มะลาอิกะห์ ดังนั้นท่านนบีจึงได้อ่านอายะห์นี้ (ประกาศเถิดมูฮัมหมัด ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล แท้จริงเขาได้นำอัลกุรอานลงมายังหัวใจของเจ้า) ท่านนบีกล่าวต่อไปว่า สิ่งแรกของสัญญาณแห่งกาลอวสานคือ จะมีไฟไล่ต้อนบรรดาผู้คนจากตะวันออกไปรวมกันที่ตะวันตก, ส่วนอาหารมื้อแรกของชาวสวรรค์คือ ส่วนที่วิเศษสุดของตัวปลาวาฬ และประการสุดท้ายคือ เมื่ออสุจิของฝ่ายชายมาก่อนอสุจิของฝ่ายฝ่ายหญิง ทารกก็จะเหมือนพ่อ แต่ถ้าอสุจิของฝ่ายหญิงมาก่อนอสุจิของฝ่ายชาย ทารกก็จะเหมือนแม่ อับดุลลอฮ์ บิน สลามจึงได้กล่าวปฏิญาณตนว่า ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ เขากล่าวต่อไปว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ แท้จริงชาวยะฮูดนั้นคือกลุ่มชนที่ชอบกุเรื่องเท็จ หากพวกเขารู้เรื่องการรับอิสลามของฉันก่อนที่ท่านจะถามพวกเขา พวกเขาก็จะใส่ไคล้ฉัน หลังจากนั้นชาวยะฮูดได้มา ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงได้ถามพวกเขาว่า อับดุลลอฮ์ บิน สลาม เป็นคนเช่นไรในหมู่พวกท่าน ? พวกเขาตอบว่า เขาเป็นคนดี และเป็นลูกของคนดีในหมู่พวกเรา, เขาเป็นชนชั้นนำในหมู่พวกเรา และเป็นลูกของชนชั้นนำในหมู่พวกเรา ท่านนบีกล่าวว่า พวกท่านจงบอกหน่อยซิ หากว่า อับดุลลอฮ์ บิน สลาม ได้รับอิสลามแล้ว พวกเขากล่าวว่า ขออัลลอฮ์ปกป้องเขาให้พ้นจากสิ่งดังกล่าว แล้วอับดุลลอฮ์ บิน สลาม ก็ได้ออกมา พร้อมทั้งกล่าวว่า ข้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดคือรอซูลของอัลลอฮ์ พวกเขาจึงกล่าวว่า เขาเป็นคนเลวและเป็นลูกของคนเลวในหมู่พวกเรา แล้วก็วิพาษ์วิจารณ์เขาอีกมากมาย อับดุลลอฮ์ กล่าวว่า นี่แหละคือสิ่งที่ฉันกลัว โอ้รอซูลของอัลลอฮ์” ศอเฮียะห์ บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 3645
ชาวยะฮูดถกกับท่านอุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ ในเรื่องการเป็นนบีของท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
อิบนุ ญะรีร ได้บันทึกไว้โดยอ้างคำรายงานจาก อัชชะอ์บีย์ ว่า อุมัร ได้ไปหาชาวยะฮูด แล้วกล่าวว่า ฉันขอสาบานต่อผู้ซึ่งที่ทรงประทานอัตเตารอตให้แก่มูซา พวกท่านได้พบเรื่องราวของมูฮัมหมัด ถูกเขียนไว้ในคัมภีร์ของพวกท่านไหม ? พวกเขาตอบว่า มีซิ อุมัร กล่าวว่า แล้วทำไมพวกท่านจึงไม่ปฏิบัติตามเขา พวกเขากล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ส่งรอซูลท่านใดมานอกจากจะส่งมะลาอิกะห์มาคอยอุปถัมภ์เขาด้วย และแท้จริง ญิบรีล คือผู้ที่คอยอุปถัมภ์มูฮัมหมัด แต่เขาเป็นศัตรูของพวกเราจากเหล่ามะลาอิกะห์ แต่ มีกาอีล นั้นพวกเราให้การยอมรับ เพราะเขาเป็นผู้ให้ความสงบสุขแก่พวกเรา และถ้าหากว่ามะลาอิกะห์ที่มาหาเขาเป็น มีกาอีล พวกเราก็จะให้การยอมรับ อุมัร กล่าวว่า ฉันขอสาบานต่อผู้ซึ่งที่ประทานคัมภีร์อัตเตารอตให้แก่มูซา แล้วสถานะของมะลาอิกะห์ทั้งสอง ณ.ที่องค์อภิบาลแห่งโลกทั้งผองเป็นเช่นไร ? พวกเขากล่าวว่า ญิบรีล อยู่ทางด้านขวาของพระองค์ ส่วน มีกาอีล อยู่อีกด้านหนึ่งของพระองค์ อุมัร กล่าวว่า ฉันขอยืนยันว่าทั้งสองจะไม่กล่าวสิ่งใดนอกจากด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และ มีกาอีล กับ ญิบรีล นั้นจะไม่เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน แต่จะเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับอีกฝ่ายหนึ่ง และจะเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับอีกฝ่าหนึ่ง ขณะนั้นท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ผ่านมาพอดี พวกเขาจึงถามว่า นี่คือสหายของท่านโอ้อุมัรเอ๋ย เขาจึงลุกขึ้นไปหาท่าน ขณะนั้นอายะห์นี้ก็ถูกประทานลงมายังท่าน (ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล แท้จริงเขาได้นำอัลกุรอานลงมายังหัวใจของเจ้าด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์) จนกระทั่งถึงคำว่า (แท้จริงอัลลอฮ์เป็นศัตรูกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา)
อีกบทหนึ่งที่ อิบนุ ญะรีร ได้อ้างคำรายงานจาก อิบนุ อบี ลัยลา ในถ้อยคำที่ว่า (ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล) เขากล่าวว่า ชาวยะฮูดได้กล่าวแก่บรรดามุสลิมว่า หาก มีกาอีล เป็นผู้นำสาสน์ลงมายังพวกเจ้า พวกเราก็จะปฏิบัติตามพวกเจ้า เพราะเขานั้นคือผู้ที่นำความเมตตาและสายฝนมาสู่พวกเรา แต่ญิบรีลนั้นนำเอาการทรมาน,การล้างแค้นมาสู่พวกเรา เขาจึงอยู่ในสถานะเป็นศัตรูกับพวกเรา เขากล่าวว่า แล้วอายะห์นี้ก็ถูกประทานลงมา (ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล) ตัฟซีร อัตฏอบะรีย์ เล่มที 1 หน้าที่ 431- 435
ฮะดีษที่รายงานเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ค้านกัน เนื่องจากชาวยะฮูดหลายเผ่าได้ทยอยมาหาท่านนบี และบรรดาศอฮาบะห์ เพื่อพิสูจน์การเป็นนบีดังที่ถูกระบุไว้ในคัมภีร์อัตเตารอต เพราะฉะนั้นคำรายงานเหล่านี้จึงเป็นการรายงานตามสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น วัลลอฮุอะอ์ลัม
ถ้อยคำที่ว่า (ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูกับญิบรีล แท้จริงเขาได้นำอัลกุรอานลงมายังหัวใจของเจ้าด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์) ขณะที่เหล่ายะฮูดอ้างว่า ญิบรีล ผิดพลาดในการนำเอาวะฮีย์จากอัลลอฮ์มามอบให้แก่ท่านนบี และไม่ยอมรับในการเป็นนบีของท่าน นบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จนกระทั่งพวกเขาประกาศเป็นคัตรูกับญิบรีลนั้น พระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงยืนยันว่า ญิบรีลไม่ได้นำเอาวะฮีย์มาให้ผู้ใดโดยพละการ แต่ด้วยอนุมัติของพระองค์ เช่นเดียวกับที่เคยนำเอามาให้แก่บรรดานบีก่อนหน้านี้ ดังนั้นการปฏิเสธและประกาศเป็นศัตรูกับญิบรีล ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธบรรดานบีก่อนหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า พระองค์ได้ให้ญีบรีล แจ้งให้ทราบว่า
وَمَا نَتَنَزَّلُ إلاَّ بِأمْرِرَبِّكَ لَهُ مَا بَيْنَ أيْدِيْنَا وَمَا خَلْفَنَا وَمَا بَيْنَ ذَلِكَ وَمَا كَانَ رَبُّكَ نَسِيًّا
“และเรามิได้ลงมานอกจากด้วยบัญชาแห่งองค์อภิบาลของท่าน สำหรับพระองค์นั้นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างเบื้องหน้าของเราและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเรา และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง และองค์อภิบาลของท่านนั้นมิได้หลงลืมสิ่งใด” ซูเราะห์ มัรยำ อายะห์ที่ 64
พระองค์อัลลอฮ์ ทรงกล่าวว่า
وَإنَّهُ لَتَنْزِيْلُ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ نَزَلَ بِهِ الرُّوْحُ ألأَمِيْنُ عَلَى قَلْبِكَ لِتَكُوْنَ مِنَ الْمُنْذِرِيْنَ
“และแท้จริงอัลกุรอานนั้น เป็นการประทานลงมาขององค์อภิบาลแห่งโลกทั้งผอง โดยวิญญาณ (ญิบรีล) ซื่อสัตย์ได้นำมันลงมาบนหัวใจของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้แจ้งเตือน” ซูเราะห์ อัชชุอะรออ์ อายะห์ที่ 192-194
ถ้อยคำที่ว่า (เพื่อยืนยันสิ่งที่มาก่อนหน้ามัน) คือพระองค์อัลลอฮ์ทรงให้ญีลรีลนำอัลกุรอานลงมาบนหัวใจของท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เพื่อยืนยันสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาก่อนหน้าคัมภีร์อัลกุรอาน
อิบนุ ญะรีร กล่าวว่า “บิชร์ บิน มุอาซ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า ยะซีด บิน ซุรอยอ์ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า สะอี๊ด เล่าให้เราฟังจาก ก่อตาดะห์ กล่าวว่า (เพื่อยืนยันสิ่งที่มาก่อนหน้าคือ อัตเตารอตและอัลอินญีล)” ตัฟซีร อัตฏอบะรีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 438