บทความแก้เกี้ยวของลัทธิชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง
หลังจากที่ผมเขียนบทความลงเว็บไซต์ www.fareedfendy.com ตั้งแต่ปลายปี 2550 เพื่อแฉเล่ห์กล ของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง ในการบิดเบือนอัลกุรอาน,ฮะดีษ,การด่าทอประณามบรรดาภรรยาและบรรดาศอฮาบะห์ ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และเผยให้เห็นว่า เหล่าชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองได้อ้างเอา อะห์ลุ้ลบัยต์ (ครอบครัววงศ์วานของท่านนบี) มาบังหน้า โดยพวกเขาเองก็ไม่ได้เชื่อและปฏิบัติตามต่ออะห์ลุ้ลบัยต์แต่อย่างใด จนนำไปสู่การตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ รู้ทันชีอะฮ์ ตามที่ปรากฏแก่สายตาของท่าน
จากบทความและหนังสือ รู้ทันชีอะฮ์ เล่มนี้ มีผลทำให้เหล่าชีอะฮ์ตื่นตระหนกและหวาดผวาที่ความจริงถูกเปิดเผย จนผ่านข้ามมาหลายเดือน,หลายปีแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานใดๆมาโต้แย้งอย่างเป็นรูปธรรมได้ นอกจากเขียนบทความแก้เกี้ยวตามที่ปรากฏในเว็บ ยอมใหญ่
น่าเสียดายที่นักวิชาการชีอะฮ์ ไม่ชี้แจงข้อเขียนของผมเพื่อคลายความสงสัยแก่มวลชน และแก้ข้อหาว่าเป็นผู้บิดเบือนอัลกุรอาน,ฮะดีษ และเอาอะฮ์ลุ้ลบัยต์มาบังหน้า พวกเขาทำได้เพียงทำลายความน่าเชื่อถือในตัวผม และลามปรามไปจนถึงนักวิชาการอวุโสอย่างท่าน อ.ดิเรก กุลศิริสัวสดิ์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์) และท่านเชค อาลี อีซา
การกระทำเยี่ยงนี้ เปรียบดังอันธพาลในแวดวงนักวิชาการ เพราะถ้าหากผู้เขียนบทความดังกล่าวเป็นนักวิชาการจริง ก็ควรนำเสนอผลงานทางวิชาการคัดค้านซึ่งจะทำให้ลัทธิชีอะฮ์ดูดีขึ้นในสายตาของผู้คน แต่การกระทำเยี่ยงนี้เท่ากับเป็นการตอกย้ำความอัปยศให้แก่เหล่าชีอะฮ์เอง
ผู้เขียนบทความกล่าวว่า “หลังจากได้อ่านหนังสือ "รู้ทันชีอะฮ์" ผมรู้สึกสะท้อนใจและเสียดายความก้าวหน้า และพัฒนาการทางวิชาความรู้ในสังคมมุสลิมส่วนใหญ่ของเรา ที่เป็นไปได้ล่าช้าเหลือเกิน ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงระยะเกือบ 30 ปี ที่ผ่านมา ความรู้เกี่ยวกับชีอะฮ์ของครูบาอาจารย์ในสังคมส่วนใหญ่ของมุสลิมในประเทศไทย ยังมิได้ก้าวพ้นไปจากความเท็จ บกพร่องในการค้นคว้าข้อมูล นั่นก็เพราะว่า เป็นงานเขียนที่ผู้เขียนไม่ได้จริงใจที่จะแสวงหาความจริงรอบด้านของมันให้ครบถ้วนเสียก่อน เข้าตำราตาบอดคลำช้าง หรือประเภทฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดนั่นเองทั้งๆที่ถ้าหากท่านผู้เขียนต้องการจะศึกษาเรื่องราวของชีอะฮ์โดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อที่จะได้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริงของชีอะฮ์ ก่อนจะลงมือเขียน ก็น่าจะได้ไปค้นคว้า ตรวจสอบและหาข้อมูลจากสถาบันหรือองค์กรต่างๆในสังคมชีอะฮ์ให้ครบครันเสียก่อน เพื่อจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงตามความจริงที่พวกเขาเป็นกันอยู่ เช่น จากศูนย์วัฒนธรรมอิหร่าน สถาบันเผยแพร่แหล่งอื่นๆของชีอะฮ์ที่มีเปิดเผย ชัดเจน อยู่หลายแห่งทั้งในกทม.และต่างจังหวัด กล่าวคือ ถ้าหากชีอะฮ์เป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวดวงอื่น ที่อยู่นอกโลกก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง ใครจะเขียนออกมาในแนวไหนเพื่อทำเป็นหนังสืออกวางขาย ก็ได้ ผมจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าละอาย เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของนักเขียนคนนั้นๆเอง ผิดกับการที่อาจารย์ฟารีด เฟนดี้ เขียนถึงเรื่องที่เป็นหลักศรัทธาของกลุ่มชน ที่มีประวัติศาสตร์ของตัวเองอย่างชัดเจน และยาวนานอย่างชีอะฮ์”
ผมอ่านข้อความข้างต้นนี้ด้วยความเวทนา เพราะถ้าผมจะเขียนเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ผมสามารถสอบเรื่องที่สงสัยกับพระสงฆ์ได้ แต่เมื่อผมจะเขียนเรื่องชีอะฮ์ ผมกลับไม่สามารถสอบถามข้อมูลจากคนที่เข้ารีตลัทธิชีอะฮ์ได้ เนื่องจากพวกเขาถือหลัก ตะกียะห์ (โกหกได้บุญ) ดังนั้น ผมจึงไม่มั่นใจในสิ่งที่พวกเขาพูด ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเลือกที่จะนำเสนอข้อมูลของชีอะฮ์ จากตำราของชีอะฮ์เองเอามาตีแผ่ อย่างเช่นหนังสือ
الأصول من الكافي
الفروع من الكافي
الروضة من الكافي
نهج البلاغة
نهج الحق وكشف الصدق
และตำราอื่นๆ อีกหลายเล่มที่เป็นของชีอะฮ์เอง โดยผมจะบอกแหล่งที่มากำกับไว้ทุกครั้งเมื่อกล่าวอ้าง นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ของชีอะฮ์ทั้งภาคภาษาอาหรับและภาษาไทย ที่จะบอกตัวตนของชีอะฮ์ได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาเชื่อกันอย่างไร และปฏิบัติกันอย่างไร
ดังนั้น “รู้ทันชีอะฮ์” จึงไม่ได้เป็นหนังสือที่อ้างข้อมูลจากการเล่าขาน หรือมีข้อมูลเลื่อนลอยหาแหล่งอ้างอิงไม่ได้ ตรงกันข้าม กลับเป็นข้อมูลที่มาจากบรรดาตำราอันลือชื่อของชีอะฮ์เอง ซึ่งเป็นการกระฉากหน้ากาก เผยให้เห็นตัวตนของชีอะฮ์อย่างชัดเจน และเป็นเหมือนหอกที่คอยทิ่มแทงชีอะฮ์อยู่ตลอดเวลา
ล่วงมาจนกระทั่งถึงขณะนี้ ชีอะฮ์ก็ยังไม่สามารถชี้แจง หรือคัดค้านในเชิงวิชาการข้อเขียนของผมได้ แต่สิ่งที่พวกเขาทำให้เห็นก็คือ เขียนบทความแก้เกี้ยว
ทั้งๆที่บทความและหนังสือของผมปรากฏแก่สายตาผู้คนมาหลายปี ชีอะฮ์เพิ่งจะตื่นขึ้นมาถามว่า “จะรู้ทันชีอะฮ์หรือ”
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.